จับเข่าคุย กับ น.นพรัตน์ มังกรแห่งเจ้าพระยา

ใครที่ชื่นชอบอ่านนวนิยายจีน คงคุ้นชื่อของ “ น.นพรัตน์” ซึ่งเป็นนามปากการ่วมกันของสองพี่น้อง ตระกูล ภิรมย์อนุกูล คือ อานนท์ (ผู้พี่) และ อำนวย (ผู้น้อง) ทั้งสองมีอายุห่างกัน 2 ปี แต่ทั้งคู่เข้าเรียนพร้อมกัน นั่งเรียนโต๊ะเดียวกัน จึงมีความผูกพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก จนหลายคนมักคิดว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝดกัน
ชื่อของ น.นพรัตน์ เป็นที่รู้จักในยุทธพิภพยาวนานมากว่า 40 ปี โดยทั้งคู่เป็นนักแปลนิยายกำลังภายใน ที่เริ่มจุดประกายให้คนไทยเริ่มหันมาสนใจนิยายแนวนี้มากขึ้น ขนาดที่ผู้อ่านต่างชื่นชอบและติดกันงอมแงม จนผู้แปลได้รับฉายาว่า “มังกรแห่งเจ้าพระยา”
วันนี้ อำนวย มีอายุครบ 60 ปี หากจะย้อนเส้นทางการเดินทางในวงการน้ำหมึกของทั้งคู่ก็สนุกสนานไม่แพ้ในนวนิยาย โดยมีเรื่องเล่าว่า ตอนที่ทั้งคู่อยู่ในวัยรุ่น อายุประมาณ 15-16 ปี นั้น ทั้งคู่ต้องผลัดกันเฝ้ายาม คอยดูต้นทางระวังบิดา เพื่อแอบอ่านหนังสือนิยายกำลังภายใน เพราะบิดาต้องการให้ลูกเอาดีด้านธุรกิจการค้า (ขายกระจก) จึงไม่สนับสนุนให้อ่านหนังสือ ทั้งๆ ที่บิดาของทั้งสองก็เป็นนักอ่านตัวยงและสะสมวรรณคดีจีนไว้มากมาย
แต่ทั้งอำนวย และอานนท์ ต่างต้องมนต์เสน่ห์ของหนังสือจนถอนตัวไม่ขึ้น เมื่อมีโอกาสได้รู้จัก แสงเพชร เสนีย์บดินทร์ ผู้เขียนเรื่องสั้นและนักเขียนบทภาพยนตร์ จึงเกิดแรงบันดาลใจเริ่มเขียนเรื่องสั้นไทย ส่งตามนิตยสารต่างๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกตีคืน ทั้งคู่ก็ไม่ย่อท้อ ต่อมาได้ทดลองแปลนิยายกำลังภายในให้ แสงเพชร ตรวจดู แต่ผลงานเรื่องแรกและเรื่องที่ 2ยังไม่ถึงขั้น แต่ความพยายามก็ไม่เคยลดละ จนเรื่องที่ 3จึงสอบผ่านได้ตีพิมพ์กับ สนพ.บันลือสาส์น คือเรื่อง “เทพบุตรเพชฌฆาต” โดยใช้นามปากกาว่า อ.ภิรมย์
จากนั้น ประมาณ พ.ศ.2509 จึงมีผลงานเรื่องแรก คือ “กระบี่อำมหิต” ด้วยนามปากกา น.นพรัตน์ ซึ่งพิมพ์ที่ สนพ.เพลินจิตต์ เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากผู้อ่านพอสมควร นับแต่นั้นมา ทั้งคู่ก็โดดเข้ามาทำงานแปลนิยายกำลังภายในอย่างเต็มตัว ทั้งที่มีอายุเพียง 18 และ 16 ปี เท่านั้น และเนื่องด้วยอายุน้อยทั้งคู่จึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนให้ผู้อ่านรู้จักเป็นเวลาเนิ่นนาน
และชื่อ น.นพรัตน์ นี้เอง อำนวย เล่าเสริมให้ฟังถึงที่มาของชื่อนี้ว่า “ตอนนั้นผมนั่งรถเมย์สาย 5 ไปที่ถนนหลานหลวง ไปลงรถที่ผ่านฟ้าแล้วเดินอ้อมมาที่เพลินจิตต์ พอรู้ว่าจะต้องหานามปากกาอีกชื่อ ก็คิดว่าจะใช้นามปากกาอะไรดี พอนั่งรถเมย์ผ่านแถวพาหุรัด จะมีร้านเพชร ชื่อว่า นพรัตน์ เป็นร้านคูหาเดียว ก็เลยเกิดความคิดแวบขึ้นมาว่า พี่ชายผมชื่อ อานนท์ ผมชื่อ อำนวย นามสกุล ภิรมย์อนุกูล เราใช้ อ.อ่างไปแล้ว ก็เหลือขาดแต่ตัว น.หนู ก็เลยเกิดคำว่า น. แล้วก็ นพรัตน์ ตามมา แล้วก็อยู่ยงคงกระพันมาจนทุกวันนี้”
ชื่อของ น.นพรัตน์ แท้จริงแล้วเริ่มมาจากการแปลนิยายกำลังภายในโดยเริ่มจากแนวบู๊ล้างผลาญ ฆ่าล้างแค้น ทั่วๆ ไป กระทั่งมาจับงานของ “กิมย้ง” และ “โก้วเล้ง” จึงพบว่ามีสีสันไปอีกแบบหนึ่ง คือ มีการสอดแทรก ความคิด ปรัชญา คุณธรรม จึงเริ่มแปลงานของ “โก้วเล้ง” ก่อน คือเรื่อง ราชายุทธจักร, อินทรีผงาดฟ้า เป็นต้น แต่สำหรับความภาคภูมิใจมากที่สุดของ น.นพรัตน์ คือ สามารถแปลผลงานของกิมย้ง ได้ครบทั้ง 15 เรื่อง และเป็นผู้แปลงานของโก้วเล้ง ได้มากกว่าผู้แปลท่านอื่นๆ
หลังจากนั้นก็มีนักเขียนคนใหม่โดดเด่นขึ้นมาคือ “หวงอี้” ซึ่งเป็นนักอ่านและนักค้นคว้าตัวยง เขียนนิยายวิทยาศาสตร์ควบไปกับนิยายกำลังภายใน ในบรรดานักเขียนที่ น.นพรัตน์แปลงานให้คนไทยได้อ่านมาตลอดนั้น เขามีโอกาสพบตัวจริงเพียง 2 คนเท่านั้นคือ กิมย้ง ซึ่งพบกันในงานหนังสือที่ไต้หวัน ส่วนหวงอี้ นั้น เขาบอกว่าอยู่ในขั้นสนิทสนมกันขนาดช่วงคริสมาสต์ น.นพรัตน์ จะไปคารวะ อวยพร กันทุกปี
และจากกาารแปลนิยายมาหลายต่อหลายเรื่อง มีหลายเรื่องที่ตราตรึงอยู่ในใจ แต่เรื่องที่ น.นพรัตน์ ชื่นชอบมากที่สุดเห็นจะมีอยู่ 3 เรื่อง คือ กระบี่เย้ยยุทธจักร, 8เทพอสูรมังกรฟ้า ของ กิมย้ง และ มังกรคู่สู้สิบทิศ
“ที่ชอบ “กระบี่เย้ยยุทธจักร” เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมแปลเมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยใช้ชื่อว่า “ผู้กล้าหาญคนอง” ดังนั้น ผมจึงมีความผูกพันกับตัวละครตัวนี้ คือตัว “เล้งฮู่ชง” เป็นอย่างมาก ส่วนเรื่อง “8 เทพอสูรมังกรฟ้า” เรื่องนี้ตอนนั้น สยามกีฬานำไปตีพิมพ์แล้วมีคนชอบ ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำงานยากมาก เพราะการที่จะเขียนตัวเอก 3-4 คน แล้วนำมาเป็นตัวเดินเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย อีกทั้งเนื้อเรื่องของแต่ละคนต้องมาร้อยต่อเข้าด้วยกันอีก สมกับที่เรื่องนี้ได้รับ ฉายา “ภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ” จริงๆ จากเรื่องนี้” น.นพรัตน์ กล่าว
เบื้องหลังผลงานแปลกำลังภายในหลายร้อยเรื่องของน.นพรัตน์นั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันของทั้งสองพี่น้องที่ประสานจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ เมื่อก่อนผมจะเป็นคนอ่านต้นฉบับจากภาษาจีนแล้วแปลเป็นภาษาไทย ส่วนพี่ชายผมมีหน้าที่จดและเกลาภาษาให้สวยงาม บางครั้งพี่ผมลุกไปที่อื่นผมก็สามารถมานั่งทำแทนได้เหมือนกัน”
แต่หลังจากที่อานนท์เสียชีวิตในปี 2543 อำนวยผู้น้องก็ต้องฉายเดียวในการแปล เขามีห้องทำงานในบ้าน โดยจะหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ประมาณ 9 โมงก็จะมานั่งแปลจนถึง 5 โมงเย็นจึงเลิกงานจะทำเช่นนี้ทุกวันมิขาด ซึ่งจะได้งานแปลวันละ 15 หน้า ขนาดที่เจ้าตัวยังยอมรับเลยว่าทำงานเหมือน “มดงาน”
และก่อนที่น.นพรัตน์จะจรดปากกาแปลนั้น เขาจะชงชาจีน 1 กาเพื่อใช้จิบ และจะนำน้ำชา “น้ำแรก” มาเช็ดโต๊ะทำงานก่อนจนเป็นนิสัย เพื่อจะให้กลิ่นหอมของชาอบอวลสร้างบรรยากาศภายในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยกองหนังสือและพจนานุกรมที่ถูกพลิกใช้จนช้ำแล้วช้ำอีก
ถึงแม้เทคโนโลยีปัจจุบันจะก้าวหน้าล้ำสมัย แต่ น.นพรัตน์ ยังคงใช้ปากกาหมึกซึมปากเกอร์เฉกเช่นเมื่อเมื่อ 40 กว่าปีก่อนที่เริ่มทำงานแปล นอกจากนี้เขายังชินกับการเขียนใส่กระดาษฟูลสแก๊ป
“ทุกวันนี้ผมจะสั่งกระดาษฟูลสแก๊ปให้มาส่งที่บ้าน 10 – 20 ริม ซึ่งจะพอใช้ได้นานถึง 1 – 2 ปี”
แม้ว่า อานนท์ ภิรมย์อนุกูล (ผู้พี่) จะได้จากไปแล้ว แต่นามปากกา น.นพรัตน์ ก็ยังคงอยู่รังสรรค์งานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และตั้งใจว่าจะแปลหนังสือต่อไปเท่าที่สติปัญญาจะเอื้ออำนวย
“ ผมคิดว่าผมเป็นนักเขียนเหมือนที่ “เติ้งเสี่ยวผิง” เคยพูดคำคมเอาไว้ 2 คำ คือ “หนูสีขาวหรือดำก็ไม่สำคัญ ขอให้แมวจับหนูได้ ” ส่วนอีกคำคือ “ลูบคลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ ” ความหมายของเติ้งเสี่ยวผิง ที่พูดคำนี้ตอนปฏิวัติใหม่ๆ เพื่อต้องการให้คนจีนทดลองอะไรใหม่ๆ
ดังนั้นผมจึงเข้าใจว่า ผมก็ต้องการอะไรใหม่ๆ เหมือนที่ เติ้งเสี่ยวผิง พูดไว้เหมือนกัน ผมต้องลูบคลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ ลูบคลำไปเรื่อยๆ จนกว่า จะถึงฝั่ง บางครั้งก็ตกน้ำป๋อมแป๋ม ยอมรับว่าช่วงเวลาเริ่มแรกนั้น ผมร่ำเรียนจากผลงานของตัวเอง ผลงานของนักเขียนท่านใหม่อยู่ตลอด ว่ามีสำนวนอะไรใหม่ๆ มีการบ้านอะไรต้องทำบ้าง เช่น ถ้าอิงประวัติศาสตร์เป็นช่วงไหน เราก็ต้องไปศึกษาประวิตศาสตร์ช่วงนั้นมา เพื่อให้เป็นข้อมูลกับผู้อ่านด้วย” น.นพรัตน์กล่าวปิดท้าย
เรื่องโดย : หยกดารินทร์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤศจิกายน 2553