Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

จับเข่าคุยกับ “น.นพรัตน์”

 

 
          สบโอกาสสั้นๆ ในวันฉายภาพยนตร์ จอมใจบ้านมีดบิน รอบปฐมทัศน์ ได้พูดคุยกับ น.นพรัตน์ ที่แม้ว่าวันนี้จะเหลือเพียงเขาคนเดียว คือ อำนวย ภิรมย์อนุกูล ด้วยว่าผู้พี่ อานนท์ ภิรมย์อนุกูล ได้เสียชีวิตจากไป แต่อำนวยก็ยังคงใช้ปากกาแปลง แปลเรื่องราวแห่งโลกบู๊ลิ้ม ให้คนไทยได้อ่านกันอย่างเฉียบคมและครึกครื้น
 
          “ก็ลำบากมากขึ้น ตรงที่พี่ชายผมเขาจะมีสำนวนที่ไพเราะ ภาษาไทยเขาจะดีกว่าผม สมัยที่เขาอยู่ ก็จะเป็นคนที่คอยขัดเกลาสำนวน ตอนนี้ต้องทำเองทั้งหมด จะคิดถึงเขามากในเรื่องนี้” น.นพรัตน์ หนึ่งเดียวในวันนี้กล่าว
 
          “ครอบครัวของผมเป็นคนจีนที่เหมือนกับคนจีนทั่วๆไป คือคุณพ่ออยากให้ลูกๆได้รับการศึกษาภาษาไทยควบคู่กับภาษาจีนไปด้วย ก็เลยจ้างครูมาสอนหนังสือที่ข้างบ้าน และเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมหลังจากจบประถม ๔ ตอนแรกๆ เรียนวิธีการเขียนจดหมายท้วงหนี้ และจดหมายโต้ตอบต่างๆ (หัวเราะ)
 
          ตอนนั้นไม่คิดจะเอาดีทางด้านนี้ แต่บังเอิญว่าที่ข้างบ้านมีเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งมาพักอาศัยอยู่กับญาติ คือ แสงเพ็ชร์ เสนีย์บดินทร์ ที่แต่งเรื่อง อาจารย์โกย แกเห็นผมอ่านภาษาจีนอยู่ ก็เลยถามว่าสนใจจะแปลหนังสือไหม แกจะให้ผมลองแปลหนังสือจากจีนเป็นไทยดู แล้วส่งไปให้สำนักพิมพ์บันลือสาส์นที่แกทำงานอยู่ สองเรื่องแรกยังใช้ไม่ได้ แต่เรื่องที่สามสอบผ่าน ได้ตีพิมพ์ที่สำนักพิมพ์บันลือสาส์น คือเรื่อง เทพบุตรเพชฌฆาต โดยใช้นามปากกาว่า อ. ภิรมย์ นี่เป็นเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ ประมาณเดือนตุลาคมครับ
 
          “พอปี ๒๕๐๙ ก็มีนักเขียนอีกท่านชวนให้มาทำงานกับนายห้างเวช กระตุฤกษ์ ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ ตรงสี่แยกหลานหลวง นายห้างก็ชวนให้มาแปลนิยาย ตอนแรกๆ นี่นายห้างคิดจะออกเป็นหนังสือพิมพ์ และจะลงนิยายจีน ๕ เรื่อง และให้ผมแปล ๒ เรื่อง ซึ่งตอนนั้นยังใช้นามปากกาว่า อ.ภิรมย์ อยู่ แต่พอออก ๒ เรื่องพวกเราเลยต้องหานามปากกาใหม่ ก็เลยใช้นามปากกาว่า น.นพรัตน์”
 
          อำนวยกล่าวว่า ที่มาของนามปากกา น.นพรัตน์ นั้น มีความสำคัญกับตัวเขาและพี่ชายมาก
 
          “เนื่องจากตอนแรกเราใช้ว่า อ.ภิรมย์ไปแล้ว ก็เลยเอาตัว น. มาใช้เป็นตัวนำหน้า ส่วนนพรัตน์มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า คือว่าช่วงนั้นเราอยู่จักรวรรดิ เวลาเราจะไปสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ ก็ต้องนั่งรถเมล์สาย ๕ ไปที่หลานหลวงผ่านฟ้า ระหว่างทางที่ไปนั้นจะผ่านพาหุรัด แถวนั้นมันมีร้านเพชรเยอะ มีอยู่ร้านนึงชื่อร้าน นพรัตน์ ตอนนี้ก็ยังเปิดกิจการอยู่ พวกเราเลยเกิดไอเดียขึ้นมาว่า มี น. แล้วก็เติม นพรัตน์ไป มันก็ง่ายๆ แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะยืนยาวมาถึงทุกวันนี้”
 
          แน่นอนว่าในอาณาจักรจอมยุทธ์ ไม่มีพู่กันและน้ำหมึกของใคร คมกริบบาดลึกหัวใจคนอ่านเท่า โก้วเล้ง กับ กิมย้ง
 
          “ของโก้วเล้ง แรกๆ นี่ทึ่งในสำนวนที่กระชับ และแนวทางการเขียนที่ต่างจากแนวกำลังภายในทั่วไปของเขา ส่วนกิมย้งเราก็ทราบกันอยู่ว่า เขาเป็นปรมาจารย์ที่รู้ลึกในประวัติศาสตร์ และนำเรื่องในแนวประวัติศาสตร์มาดัดแปลงเขียนได้ดีมากๆ เขาจะนำเอาตัวละครสมมุติมาประยุกต์เข้ากับตัวละครจริง นับตั้งแต่เรื่องที่หนึ่งของเขาคือ จอมใจจอมยุทธ์ ซึ่งเป็นเรื่องของกษัตริย์เฉียนหลง กับตัวพระเอกที่คล้ายกับเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน เฉียนหลงนี่เป็นฮ่องเต้ตัวจริง แต่ตัวพระเอกเป็นตัวละครที่สมมุติขึ้นมา ต่อมาเรื่องที่ ๒ ก็คือ เพ็กฮ่วยเกี่ย ก็คือตัวละครสมมุติอีกคือ อ้วงเซ่งจี่ และพ่อของเขานี่เป็นแม่ทัพสมัยราชวงศ์เหม็งที่มีชื่อเสียงมากชื่อ อ้วงชงฮ้วง คือแกมักจะเอาตัวละครจริงกับสมมุติมาเขียนให้กลมกลืนกัน
 
          จนกระทั่งเรื่องที่ ๓ ที่ลือลั่นสนั่นฟ้า ก็คือเรื่อง มังกรหยก ก็คือเอา เจงกีสข่าน มาผสมกับตัวก๊วยเจ๋ง แต่มีอยู่เรื่องเดียวในชีวิตของกิมย้งที่ไม่มีตัวละครจริงในประวัติศาสตร์ก็คือเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นนิยายเชิงการเมืองที่แกสมมุติตัวละครขึ้นมา เรื่องนี้มีเบื้องหลังอยู่นิดหน่อยคือ ตอนที่กิมย้งเขียนเรื่องนี้นั้น ในเมืองจีนได้เกิดพวก แก๊ง ๔ คน (เจียง ชิง, จาง ฉุนเชียว, หวัง หงเหวิน, เหยา เหวินหยวน) ขึ้น กิมย้งก็เลยเขียนกระทบกระเทียบเปรียบเปรย คล้ายๆ พาดพิงไปถึงผู้นำทางการเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่สมัยนั้น โดยเอามาดัดแปลงเป็นตัวละครในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร”
 
          พ้นไปจากสองจอมยุทธ์ดังกล่าวแล้ว น.นพรัตน์ มองว่านักเขียนนิยายกำลังภายในรุ่นใหม่ที่โดดเด่นก็มีอีกหลายคน
 
          “ก็มี อึ้งเอ็ง เขียนเรื่องชุด ซิมเซ่งอี ที่พี่ ว. ณ เมืองลุง เคยแปล กับ กระบี่ไร้เทียมทาน แต่หลังจากนั้น อึ้งเอ็งก็เบนเข็มไปเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ แล้วไปๆ มาๆ กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์จอเงินเลยเลิกเขียน อีกท่านหนึ่งที่โดดเด่นก็คือ อุนสุยอัน ซึ่งตอนนั้นใช้นามปากกาว่า อุนเลี้ยงเง็ก เขาเป็นนักเขียนที่ฉายแววว่าจะแปลกใหม่ แต่ว่า อุนเอี้ยงเงี๊ยก หรือ อุนสุยอัน คนนี้มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ นิยายของเขามักจะไม่จบ จะจบเป็นตอนๆ แค่นั้น อย่างเรื่อง สี่ยอดมือปราบ พยากรณ์ประกาศิต หรือแม้แต่ชุด สุดยอดศัสตราวุธ ซึ่งตอนนี้ผมแปลมาถึงเล่ม เกาทัณฑ์รันทด แล้ว เป็นตอนที่ ๔ เขากำหนดว่าจะมี ๘ ตอน
 
          และเมื่อประมาณ ๑๕ ปีที่แล้ว ก็มีนักเขียน คนใหม่โดดเด่นขึ้นมาอย่างมากคือ หวงอี้ ซึ่งแกเป็นนักอ่านและนักค้นคว้าตัวยง สมัยที่แกอยู่ในยุคสร้างชื่อ แกพยายามเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ควบไปกับนิยายกำลังภายในพร้อมๆ กันเดือนละเล่ม พอเริ่มมีชื่อเสียงแกก็มุ่งเขียนแต่กำลังภายในเพียงแนวเดียว กำลังภายในเรื่องยาวของแกที่พอจะเริ่มมีชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จักก็คือ ฟานหวิน พอจบจากเรื่องนี้ก็มีเรื่อง เจาะเวลาหาจิ๋นซี และ มังกรคู่สู้สิบทิศ ซึ่งใช้เวลาเขียนทั้งหมด ๕ ปีกับ ๓ เดือน เพราะแกออกเดือนละ ๑ เล่ม มีความยาวทั้งหมด ๖๓ เล่ม นับว่าเป็นเรื่องที่ยาวมาก ถ้าผมนับตามฟูลสแก็ปที่ผมเขียน ผมคิดว่าเป็นความยาวขนาดมังกรหยก ๓ ภาคมารวมกัน
 
          เอาแต่แปลนิยายกำลังภายในอย่างเดียวมานาน บวกกับงานแปลชุด โคตรโกง ในนามปากกา ใบไผ่เขียว อีกส่วนหนึ่ง หลายคนคงติดใจว่า น.นพรัตน์ จะเขียนหนังสือด้วยตัวเองบ้างหรือไม่
 
          “มีคนยุให้เขียนมาหลายครั้งแล้ว บางคนก็บอกว่าทำไมไม่แต่งเองบ้าง บางคนก็บอกว่าทำไมไม่เล่าประสบการณ์ของตัวเองถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือบ้าง ผมก็คิดว่าถ้ามีเวลาและมีโอกาสอำนวยให้ก็อาจจะทำ แต่ปัจจุบันขอทำงานประจำเหล่านี้ให้เสร็จก่อน”
 
          คลุกคลีกับวรรณกรรมจีนมาอย่างแนบแน่น เมื่อถามถึงคุณค่าของวรรณกรรมเหล่านี้ น.นพรัตน์บอกว่า “จีนนี่ผมมองว่าเขาเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลายพันปีมาแล้ว ทุกอย่างของเขาเป็นสิ่งที่น่าศึกษาทั้งนั้นไม่ว่าตำนาน หรือราชวงศ์ต่างๆ การขึ้นลงของแต่ละราชวงศ์ ความรุ่งเรืองความเสื่อมโทรมของแต่ละราชวงศ์ ล้วนเป็นบทเรียนอันดีสำหรับคนที่ต้องการจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์
 
          สำหรับนิยายกำลังภายใน หลายคนจะรู้สึกว่ามันเหมือนนิทานของผู้ใหญ่ แต่ผมว่ามันก็ให้อะไรกับเราเยอะแยะ อยู่ที่ว่าเราต้องการอะไร ถ้าเราต้องการความสนุกสนานก็อ่านเรื่องสนุกสนาน แต่บางครั้งในนวนิยายจะมีเกร็ดประวัติศาสตร์สอดแทรกอยู่ด้วย มีปรัชญามีคำคมต่างๆ มีวิถีการดำรงชีวิตของตัวละครต่างๆ ซึ่งบางครั้งคิดว่ามันจะเป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเราได้พอสมควร อย่างน้อยๆ ตัวผู้แปลเอง คือผมนี่ ก็ได้อิทธิพลจากตัวละครบางตัวในนิยาย แล้วมีความรู้สึกว่าตัวเองมีพฤติกรรมคล้ายกับตัวละครเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ผมมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างจะซ่อนตัวเก็บตัว แล้วก็ไม่ช่วงชิงเหมือนกับตัวละครตัวหนึ่งของกระบี่เย้ยยุทธจักร คือตัว เล้งฮู้ชง ก็คือปล่อยตัวไปตามสบาย ไม่ค่อยชอบออกสังคม แต่สำหรับงานแปลของผมจะไม่ใส่ความเป็นตัวของตัวเองลงไป แต่จะถอดความตามต้นฉบับเดิม”
 
          น. นพรัตน์ ยังได้เปรียบเทียบนิยายตะวันออกกับนิยายตะวันตกว่า มันมีจุดเหมือนและจุดต่างกันตรงไหนให้ฟังด้วย
 
          “ถ้าเป็นกิมย้งนี่ก็พยายามจะสืบทอดสำนวนการเขียนของ นิยายโบราณ ของตะวันออกมา ในขณะเดียวกันกิมย้งก็เคยศึกษาวรรณกรรมตะวันตกมาเยอะ แล้วเขาก็ เอามาดัดแปลงเอาวัฒนธรรมให้เข้ากับทางตะวันออก โดยหล่อหลอมเข้ามา แต่นักเขียนที่ทำตรงนี้ได้เด่นชัดมากก็คือ โก้วเล้ง เพราะเขาสามารถนำเอานิยายดังๆ ของนักเขียนฝรั่งมาแปลงเป็นนิยายกำลังภายในขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน แต่ถ้าพูดถึงความแตกต่างระหว่างนิยายตะวันออกกับตะวันตกผมคิดว่า วิถีการดำรงชีวิตของตะวันออกกับตะวันตกคงจะไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผลงานที่เขียนออกมาก็จึงไม่เหมือนกัน และถ้าเจาะจงไปที่นิยายกำลังภายในก็มักจะเน้นที่ บู๊ คือการต่อสู้ เฮี้ยบ ก็คือคุณธรรม ซึ่งคุณธรรมอันนี้จะครอบคลุมไปมากมาย เช่นคุณธรรมน้ำมิตร คุณธรรมที่มีต่อประเทศชาติ คุณธรรมต่อเพื่อนมนุษย์”
 
          ท้ายสุดของการสนทนากันในเวลาสั้นๆ น. นพรัตน์ เผยเรื่องในดวงใจของเขาตั้งแต่ได้แปลมา
 
          “อันดับหนึ่งก็คงจะเป็นเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร ที่ตัวละครมีอิทธิพลต่อผม ที่ชอบเพราะทุกอย่างค่อนข้างจะกลมกลืน มีความแปลกแตกต่างจากแนวของกิมย้งที่เขียนมา ผมชอบตัวละครตั้งแต่ตัวลิ้มเพ้งจือ ตัวเหล็งฮู้ชง ตัวเอี้ยงเอี๊ยง ชอบหลายๆ อย่างในเรื่องนี้ เรื่องที่สองก็คือ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า มีความรู้สึกว่ากิมย้งเขียนเรื่องนี้ได้แนบเนียนและยิ่งใหญ่มาก เพราะมีตัวละครเอกถึง ๓ ตัวด้วยกัน คือด้วนอื้อ เป็นหนุ่มเพลย์บอยเจ้าสำราญ แล้วก็เชื่อมโยงมาถึงตัวละครในเชิงโศกนาฏกรรมที่ผมประทับใจมากก็คือ เซียวฮง จากนั้นก็เชื่อมโยงมาถึงหลวงจีนที่ชื่อ ฮือเต็ก คิดว่าคงจะไม่มีใครเขียนเชื่อมโยงตัวละครได้แนบเนียนอย่างนี้อีกแล้ว
 
          เรื่องที่สามก็คือ ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ ที่ประทับใจเพราะชอบก็อดฟาเธอร์อยู่แล้ว เรื่องที่สี่ ก็คือ เซียวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า หรือเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น ที่พี่ ว. แปลไว้ เรื่องที่ห้าก็คือ มังกรคู่สู้สิบทิศ ยอมรับว่าเขาทำการบ้านมามากก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้ คือศึกษาประวัติศาสตร์มาอย่างละเอียด แล้วพยายามจะสอดแทรกทุกสิ่งทุกอย่างลงไป ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ด้านตำราพิชัยสงคราม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละมณฑล แต่ละชนเผ่า ซึ่งผมคิดว่าคงอีกนานที่จะมีใครเขียนนิยายได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
 
          หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่สนใจนิยายกำลังภายใน ชื่อของ น.นพรัตน์ คงไม่ไกลจากความคุ้นชินแน่ๆ เดินเข้าร้านหนังสือวันนี้ มีงานแปลชุด สุดยอดศัตราวุธ กับ จอมใจบ้านมีดบิน ของ หลี่เฝิง เป็นงานแปลปัจจุบันที่สุดของเขา