Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

จอน ซอง แท นักเขียนมือรางวัลแดนกิมจิ

 

 
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสเกาหลีมาแรง และยังคงแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีหยุด 
 
การท่องเที่ยวเกาหลีจึงได้อานิสงส์ไปเต็มๆ 
 
ภาพของ "เกาหลี" ในใจใครต่อใครดูจะหวานใสไปเสียหมด แต่ในชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ 
 
"จอน ซอง แท" หนุ่มใหญ่ชาวเกาหลีวัยย่างสี่สิบ บอกว่า ชีวิตจริงของคนเรานั้นเหนื่อยยากนัก จึงไม่แปลกที่คนเกาหลี รวมทั้งคนไทยจะชอบบริโภคละครเกาหลี ภาพยนตร์เกาหลี ที่เป็นเรื่อง "ซินเดอเรลลา" แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเดียว ถ้าเป็นเรื่องวรรณกรรมแล้วมีหนังสือ รวมทั้งบทกวี ที่สะท้อนภาพความเป็นจริงที่น่าเศร้า 
 
"สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา สังคมเกาหลีมีแต่เรื่องของการประท้วง เรียกร้องอิสรภาพ งานเขียนส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของการประท้วง กระหายประชาธิปไตยอย่างมาก เพราะเราอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร" 
 
จอน ซอง แท เป็นคนจังหวัดโกฮึง ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลี จังหวัดที่เขาบอกว่าไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล ถูกโดดเดี่ยวและพัฒนาช้ากว่าที่อื่นๆ 
 
ประสบการณ์เหล่านี้ รวมทั้งที่ได้พบเห็นจากเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักเขียน กลั่นกรอง สะท้อนสิ่งที่ได้พบเห็นให้สังคมได้ตระหนัก 
 
หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา จอง ซอง แท จึงเลือกศึกษาทางด้านงานเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่มหาวิทยาลัย Chung-Ang 
 
ปี 1994 ได้รับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ในผลงานเรื่อง "Droving Hens" จาก Silcheonmunhak 
 
ในปี 1999 เขาตีพิมพ์เรื่องสั้นเล่มแรกของเขา ชื่อ Burying the Scent สะท้อนความตกต่ำในหมู่บ้านที่ทำการเกษตรหลังจากการปฏิรูปทางสังคมสมัยใหม่ และการก้าวเข้ามาของสังคมเมือง จากประสบการณ์ในวัยเด็กของเขา และก็ได้รับรางวัล Shin Dong-yeop Creative Work Award ในปี 2000 
 
ในปี 2005 เขาได้ตีพิมพ์รวมเรื่องสั้นชิ้นที่ 2 ในชื่อว่า Crossing Borders สะท้อนถึงชีวิตคนเกาหลีในวัยหนุ่มคนหนึ่งที่หวาดกลัวความตายในช่วงที่เขาเดินทางไปยังชายแดนกัมพูชาและไทย 
 
"Crossing Borders" ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในชื่อว่า "ข้ามเหนือพรมแดน" เป็นหนึ่งในเรื่องเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งในงานวรรณกรรมชิ้นเอกของเกาหลี 12 เรื่อง ชุด "ทะเลและผีเสื้อ" ที่สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ภูมิใจนำเสนอ 
 
โอกาสนี้ จอน ซอง แท เข้ามาเป็นแขกรับเชิญ "มติชนสุขสรรค์" เปิดใจถึงเศษเสี้ยวของชีวิตนักเขียนเกาหลีที่มุ่งมั่นทำหน้าที่สะท้อนภาพของสังคมในช่วงหลังสงคราม กับภาวะโดดเดี่ยวคับข้องใจภายใต้เผด็จการทหารของประชาชนเล็กๆ คนหนึ่ง 
 
"ทำไมจึงมาเป็นนักเขียน" 
 
ผมเกิดที่เมืองโกฮึง เมืองที่อยู่ริมทะเล จังหวัดจอนลา นัมโค ทางใต้ของประเทศเกาหลี ซึ่งค่อนข้างโดดเดี่ยว และพัฒนาช้ากว่าจังหวัดอื่นๆ ในแผ่นดินเกาหลี 
 
ตั้งแต่เด็กๆ ผมคิดอยากจะเป็นนักเขียน พอเข้ามหาวิทยาลัยผมจึงเลือกเรียนวิชาการสร้างสรรค์ศิลปะการเขียน 
 
ผมรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ค่อยให้ความสนใจความเป็นอยู่ของคนในจังหวัดนี้ และเมื่อก่อนสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา สังคมเกาหลีมีแต่เรื่องของการประท้วง เรียกร้องอิสรภาพ งานเขียนส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของการประท้วง กระหายประชาธิปไตยอย่างมาก เพราะเราอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร 
 
"พ่อแม่สนับสนุนให้เป็นนักเขียน" 
 
พ่อแม่ผมไม่ค่อยยินดีที่ผมเป็นนักเขียน ท่านเป็นห่วงเพราะอาชีพนักเขียนในประเทศเกาหลีมีรายได้น้อย ตัวท่านเองมีอาชีพทำไร่ทำนา อยากให้ผมเรียนทางเศรษฐศาสตร์เพื่อจะได้เข้าทำงานในบริษัทและได้เงินเดือนที่ดีกว่า 
 
ผมมีพี่ชาย 4 คน น้องสาว 1 คน แต่ไม่มีใครเป็นนักเขียนเลย 
 
"คนเกาหลีเคารพนับถือนักเขียน?" 
 
แต่ก่อนตั้งแต่สมัยโบราณคนเกาหลีนับถือ "บุ๋น" (ตรงข้ามกับบู๊) นับถือยกย่องนักเขียนมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันเพราะมีจำนวนนักเขียนเพิ่มขึ้นมาก ความคิดนี้จึงน้อยลง 
 
ผมทราบมาว่าที่ประเทศไทยเมื่อก่อนถ้าเป็นนักเขียนจะเป็นนักข่าวด้วย เป็นผู้นำในสังคม มีความรู้สูง ฐานะค่อนข้างดี ที่เกาหลีก็เหมือนกันผู้นำในสังคมเกาหลีเมื่อ 70-80 ปีก่อนตอนที่ประชาธิปไตยยังไม่เติบโต สมัยนั้นบทบาทผู้นำที่นำประชาชนไปสู่ประชาธิปไตยเพราะถูกกดขี่จากรัฐบาลเป็นนักข่าวและนักเขียนด้วย 
 
"นักเขียนมีรายได้ไม่มาก ทำไมมีแต่คนอยากเป็นนักเขียน?" 
 
คนที่อยากเป็นนักเขียนจริงๆ จะมีแรงบันดาลใจ มีความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายนั้น ไม่เกี่ยวกับฐานะทางสังคม เพราะถ้าอยากมีฐานะทางสังคมสูงๆ ก็อาจจะเป็นนักเขียนไม่ได้ 
 
"หมายถึงนักเขียนเกาหลีไม่สนใจเรื่องเงินทอง?" 
 
ไม่สนใจไม่ได้ครับ เพราะการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมต้องใช้เงิน ผมเองก็ถูกขังอยู่ในเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถ้าเราอยากได้เงินมากๆ เราจะไม่มีอิสระในการเขียนสิ่งที่อยากจะบอก 
 
"แล้วพอใช้จ่าย?" 
 
กรณีของผมไม่ได้เขียนเรื่องมากมาย แต่มีรายได้ดีมาก ผมมีรายได้ปีละ 50 ล้านวอน (ประมาณ 2 ล้านบาท) เพราะมีองค์กรของรัฐบาล The Arts Council Korea ที่สนับสนุนนักเขียนที่เขียนวรรณกรรมบริสุทธิ์ หมายถึงถ้าเราเขียนนวนิยายหรือเรื่องสั้น นอกจากสำนักพิมพ์จ่ายค่าเรื่องให้จำนวนหนึ่ง ถ้ารัฐบาลเห็นว่าเรื่องดีมากก็จะคัดสรรเข้าไปอยู่ในรายชื่อที่รัฐบาลให้การสนับสนุน จะจ่ายเป็นรายไตรมาสให้อีก แต่ที่เกาหลีมีหนังสือเกี่ยวกับบทกวีมากมาย ฉะนั้นคนที่อยากตีพิมพ์หนังสือผลงานของตนเองก็ต้องดิ้นรนทำเอง โดยมีรัฐบาลให้การสนับสนุน 
 
"จึงมีคนจำนวนมากอยากเป็นนักเขียน" 
 
ครับ ดูได้จากจำนวนคนที่สมัครเข้าเรียนในวิชาการสร้างสรรค์ศิลปะการเขียนที่เปิดสอนตามมหาวิทยาลัย ซึ่งทั่วประเทศเกาหลีมีเปิดสอนประมาณ 50 แห่ง ทุกปีจะมีคนสมัครเข้าเรียนในภาควิชานี้ 40-50 คน สอนการเขียนโดยเฉพาะ 
 
"พอบอกรายได้ต่องานเขียน 1 เรื่องได้มั้ย?" 
 
ตัวผมเองไม่ใช่นักเขียนดีเด่นในเกาหลี ซึ่งถ้าเป็นระดับนักเขียนดีเด่นจะได้รายได้มากชนิดที่คาดไม่ถึงทีเดียว ผมได้ต่อเล่มสัก 30-40 ล้านวอน (ประมาณ 1.2-1.6 ล้านบาท) 
 
"ปกติถนัดเขียนแนวไหน" 
 
ส่วนมากจะเขียนเกี่ยวกับปัญหาในสังคมปัจจุบัน ตอนนี้ผมสนใจเรื่องกรรมกรต่างด้าวในเกาหลี จะเขียนเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนเกาหลีกับคนต่างด้าว เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมมาเมืองไทยก็เจอหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนถึง "คนที่มองหาสถานที่ที่มีแดดสว่าง" เนื้อเรื่องจะพูดถึงกรรมกรจากประเทศพม่า ถูกใจผมมาก และคิดว่าจะหาซื้อหนังสือแนวนี้กลับไปอ่านอีก 
 
"ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่บ้านเกิดเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาให้ความสนใจ?" 
 
ผมยังไม่ได้เขียน แต่มีนักเขียนคนอื่นเขียนถึง ทำให้รัฐบาลเข้ามาให้ความสนใจมากขึ้น เวลาที่ผมเขียนจะเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ตนเอง ผมรู้สึกเศร้ามาก อยากสะท้อนสังคมที่ผมเคยอยู่ให้ได้รับรู้กัน 
 
"ทราบว่าได้รับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่เมื่อ 10 ปีก่อน เรื่องเป็นแนวไหน?" 
 
เป็นเรื่องสั้นเหมือนกัน ได้รางวัลปี 1994 แนวสะท้อนสังคม เรื่องของชนบทที่ถูกทำร้าย รางวัลนักเขียนของเกาหลีจะไม่เหมือนกับในประเทศอื่น ซึ่งถ้าอยากเป็นนักเขียนต้องผ่านการประกวดเสียก่อน จึงมีคนจำนวนมากส่งเรื่องเข้าประกวด 
 
"การได้รางวัลทำให้หนังสือขายดีขึ้น?" 
 
ไม่ครับ ผมรู้ตัวเองดีว่าเขียนเรื่องไม่น่าสนใจเท่าไหร่ จึงไม่คาดหวังมาก ได้รางวัลแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ได้สนใจว่าหนังสือจะขายได้มากขึ้นหรือเปล่า อย่างนักเขียนรางวัลโนเบลคนหนึ่งที่เป็นคนญี่ปุ่น หนังสือของเขาก็ขายไม่ได้เลยในญี่ปุ่น แต่ในเมืองนอกเขาเป็นนักเขียนเพื่อนักเขียน ผมเองหวังที่จะเป็นนักเขียนเพื่อนักเขียนเหมือนกัน 
 
"รางวัลสูงสุดที่นักเขียนเกาหลีปรารถนาคืออะไร?" 
 
มีหลายรางวัล เช่น รางวัลวรรณกรรมฮยอนแด รางวัลวรรณกรรมดงอิน ฯลฯ เป็นรางวัลเฉพาะนักเขียนในประเทศเกาหลี เราไม่มีรางวัลระดับอาเซียนเหมือนซีไรต์ แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วมีนักเขียนจากแอฟริกากับนักเขียนเอเชียมารวมตัวกันที่เกาหลี มีความคิดที่จะตั้งรางวัลขึ้นเหมือนกัน 
 
"คนไทยมองว่าเรื่องของเกาหลีใช้จินตนาการมากกว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง มีความเห็นอย่างไร?" 
 
ครับ เกาหลีมีเรื่องที่เป็น "ซินเดอเรลลา" มากมาย เพราะชีวิตจริงในโลกนี้เหนื่อยยากลำบาก เวลาที่ดูละครจึงอยากมีความสุข แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าที่คนไทยชอบเรื่องแนวนี้เพราะกรุงเทพฯ กับโซลก็คล้ายๆ กัน และในโลกนี้ที่ไหนๆ ก็มีความคล้ายกัน อยากมีเวลาของความสุขบ้าง ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก 
 
"ละครเกาหลีทำไมต้องจบแบบบีบคั้นอารมณ์" 
 
ตอนนี้ที่เป็นกระแสของเกาหลีจะมีละคร ภาพยนตร์ เพลง ซึ่งจะสร้างตามความต้องการของคนดูว่าอยากจะดูอะไร แต่ถ้าเป็นงานด้านวรรณกรรมจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่ประนีประนอมกับคนอ่าน ต้องมีเป้าหมายของตน คนอ่านอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ แต่เราต้องรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ 
 
"เรื่องที่เขียนเคยทำเป็นละคร?" 
 
มี 1 เรื่อง คือ "ช่างตัดผมหญิง" เล่าถึงหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่มาใช้ชีวิตอยู่กับหนุ่มเกาหลีในประเทศเกาหลีช่วงปลายสมัยที่ถูกปกครองโดยญี่ปุ่น แต่ถูกทิ้งให้ต้องทำงานเลี้ยงลูกคนเดียว จนมาพบกับผู้ชายอีกคน หลังสงครามเกาหลียุติ ทั้งคู่ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านริมทะเล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฝ่ายชาย แต่ในบั้นปลายชีวิตทั้งคู่ก็ตายอย่างโดดเดี่ยวไปทีละคน 
 
เรื่องนี้กำลังสร้างเป็นภาพยนตร์อยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะออกฉายเมื่อไหร่ 
 
"เป้าหมายในชีวิต" 
 
ตอนนี้ผมอายุย่างเข้าเลข 4 แล้ว ยังไม่ได้เห็นอะไรอีกมากมาย แต่ถ้าจนถึงอายุ 70 ปีแล้วตอนนั้นผมอาจจะตอบได้ว่ามนุษย์คืออะไร เราเป็นคนแบบไหน แต่อย่างไรก็ตามผมจะยังคงเป็นนักเขียนต่อไป 
 
วันที่ 07 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11138 
มติชนสุดสัปดาห์