Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

จตุคามรามเทพและเรื่อง(จริง) บางเรื่องของ ‘จำลอง ฝั่งชลจิตร’

 

 
ปีไหนๆ ชีวิตของ จำลอง ฝั่งชลจิตร ก็ดูยุ่งๆ เหมือนมีอะไรให้ทำอยู่ร่ำไป จะต่างก็เพียง 'เรื่อง' ที่ยุ่งเท่านั้น!!
 
ปีก่อนเป็น จตุคามรามเทพ เทวดาผู้ปกปักรักษาเมืองนครศรีธรรมราช แต่พอมาปีนี้เป็นงานเขียนว่าด้วย 'เรื่องบางเรื่อง' ทั้งหนังสือเล่มและคอลัมน์ ในเนชั่นสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะเล่มใหม่ เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ที่เขาเขียนเอง พิมพ์เอง ทำให้เขาต้องเดินทางบ่อยครั้งตั้งแต่ต้นปี…ของฝากของเขาจึงเปลี่ยนไป จากเป็นรุ่นๆ (ภาพข่าวการจัดสร้าง) กลายมาเป็นเล่มๆ แทน
 
ด้วย 30 ปีบนถนนนักเขียนนานพอที่จะทำให้คนๆ หนึ่งรู้ว่าสิ่งที่เขารักที่สุดและจะทำต่อไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นั้นคือสิ่งใด หลังยุติหน้าที่ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไปราวกลางปี 2550 เขาจึงมิอาจหันไปทำอย่างอื่นได้อีก นอกจากเขียนและเขียน การสืบเสาะเจาะลึกเรื่องราวของ จตุคามรามเทพ ไปในทุกกระบวนการจัดสร้าง ล้วนเป็นไปเพื่อสั่งสมข้อมูลมาสร้างวรรณกรรมทั้งสิ้น
 
ด้วยมาดหมายใจไว้แล้วว่าจะเก็บทุกภาพที่เห็น ทุกความรู้สึกที่ได้สัมผัส หลอมเป็นนิยายสักเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องสั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะมีพล็อตผุดกระจายเต็มความคิดไปหมด
 
ก่อนส่งท้ายปี 2550 'เรื่องบางเรื่องฯ' จึงสำเร็จ ประเดิมสำนักพิมพ์ใหม่ของเขาเองที่ชื่อ– แมวบ้านสำนักพิมพ์ ด้านการคัดเลือกเรื่องเป็นไปโดย 'วิธีของเขาเอง' อย่างอิสระ ไม่มีเรื่อง 'ความเป็นเอกภาพ' อันที่เป็นดัชนีชี้วัด (ข้อหนึ่ง) ของรางวัลวรรณกรรมมาขีดคั่น หากแต่เน้นความชอบส่วนตนเป็นที่ตั้ง
 
15 เรื่องสั้นที่อัดแน่นมาในปกสีม่วงขนาดเกือบสามร้อยหน้า ย่อมมีเรื่องจตุคามรามเทพอยู่ด้วยอย่างมิต้องสงสัย มากไปกว่านั้นยังมีเรื่อง (จริง) ของ เพื่อนๆ ปรากฏในเรื่องสั้นของเขาด้วย เพลิดเพลินจนกระทั่งอดไม่ได้ที่จะเขียนถึง "ผู้ชายคนหนึ่งอายุร่วมๆ ห้าสิบปี ผมบางศีรษะเกือบล้าน หนวดเคราดำแซมขาว ที่นั่งจมอยู่ในร้านลิกอร์" คนนั้นอีกต่างหาก
 
"ถึงเวลาที่จะกัดตัวเองได้แล้ว" นักเขียนวัยครบ 54 เต็มในวันที่ 2 มีนาคมคนนี้ บอกอย่างอารมณ์ดี
 
ยิ่งแวดล้อมด้วยสารพัดคำถามเกี่ยวกับ 'เรื่องบางเรื่องฯ' จาก 'นักอ่าน' รุ่นเยาว์แห่งโรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ ที่เขามาบรรยายเมื่อต้นปี เขายิ่งมีไฟ และเป็นสุขยิ่งที่ได้แนะนำการเขียนให้กับ (ว่าที่) นักเขียนรุ่นใหม่ทั้งหลายเหล่านั้น!!

0 เหตุแห่งการตัดสินใจทำสำนักพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราว?

เป็นเพราะมีเพื่อนฝูงช่วย โดยเฉพาะโรงพิมพ์ ที่สำคัญได้เลือกเรื่องที่ตัวเองอยากลง ดีไม่ดีไม่รู้ล่ะ แต่ถือว่าเป็นการบอกย้ำกับตัวเองว่า 'วันนี้เรายังเขียนอยู่' เพราะเล่มนี้ไม่ใช่การเรื่องเอาเรื่องเก่ามารวม แต่เป็นเรื่องใหม่ทั้งหมดที่เขียนในรอบ 2-3 ปี ขณะเดียวกัน เป็นการระมัดระวังของเราเองด้วยว่า เราอยู่มาถึงปีที่ 30 แล้ว..ทำอย่างไรในปีที่ 31 ถึงปีที่ 40 เราถึงจะทำได้ดีและสวยงาม ก็ถามเพื่อสำรวจตัวเองไปด้วย แล้วก็จะไม่ให้ต่ำไปกว่านี้ เพราะว่าเรามีประสบการณ์แล้ว อายุมากแล้ว เราจะไม่เป็นนักเขียนแก่ที่เลิกเขียน เราจะเป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์ที่จะต้องเขียนต่อไป ไม่ย่อท้อ
 
0 วางเป้าหมายไว้ทีละ10ปีหรือ
 
เราจะทำทศวรรษที่ 4 ของเราได้ยังไงให้มันดีสมกับที่เรามีประสบการณ์ ให้ดีสมกับที่เราได้เขียนหนังสือมากพอสมควร ไม่ให้ถดถอย ความจริงแล้วไม่ใช่ขาดอารมณ์ แต่เราคิดตลอดเวลาว่าทำยังไงไม่ให้ถดถอย ศึกษาการพูดคุย การออกไปเดินสายพบกับผู้คน สอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาทั้งนั้น เกิดหัวใจที่แข็งแกร่งขึ้น เกิดความมั่นคงขึ้น คนเรามันต้องการสิ่งเหล่านี้ ความมั่นคงความมั่นใจว่าค่อยๆ เดินไปทีละปีๆ สร้างงานที่ดีขึ้นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันจะไม่จบภายในวันนี้หรอก ว่าเราจะดีวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่มันต้องไปจบทั้งชีวิต แล้วก็มาดูกันว่าได้เท่าไหร่ แต่เราไม่ประมาท

0 ความประมาทของนักเขียนคืออะไร?
 
คือการไม่ศึกษา ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วอย่างที่เคยพูดว่าเคยฝันไว้ยังไง ท้ายสุดแล้วคุณก็ลืมฝันของคุณไปเฉยๆ แสดงว่าคุณไม่ได้มีความฝันจริงๆ แต่แค่ฝันสนุก คุณเข้ามาอยากเป็นนักเขียน แต่ท้ายสุดคุณกลับไม่รู้ว่านักเขียนจริงๆ คืออะไร และมีหน้าที่อะไรบ้าง ต่อตัวเอง ต่อสังคมและโลก เมื่อคุณไม่เข้าใจคุณก็รามือได้ง่ายๆ เพียงแต่คุณไม่ได้รับเสียงปรบมือ คุณก็ไม่เขียนแล้ว ต้องไม่เป็นอย่างนั้นครับ ที่ผ่านมา เราไม่ได้เงี่ยหูฟังว่า เราเขียนมาแล้วใครจะปรบมือหรือชมเท่าไหร่ สำหรับคำชมเราก็มีความสุข แต่ท้ายสุดทิ้งมันไว้ตรงนั้น คิดง่ายๆ ว่าคำชมก็คือดอกไม้ คำด่าก็คือดอกไม้ แล้วเราก็เดินของเราต่อไป มันถึงเขียนอยู่ได้มาจนทุกวันนี้
 
0 มอง 30 ปีที่ผ่านมาของตัวเองได้ว่าอย่างไร?
 
มันเป็น 30 ปีที่เรารู้สึกว่าได้เดินมาทางนี้ตลอด รู้ว่าจริงๆ ทางนี้มันหยุดไม่ได้หรอก แม้เราต้องทำงานอื่นประกอบด้วย แต่เราก็ไม่เคยเลิกคิดเขียนหนังสือเลย อย่างที่เคยบอกว่านักเขียนที่เขียนหนังสือมาพร้อมๆ กันจำนวนมากก็ค่อยๆ หายไปๆ หนึ่ง อาจจะเพราะเขาพบว่าตัวเองไม่ใช่นักเขียนก็ได้ สอง เขาก็อาจจะพบว่าถ้าเขาเป็นนักเขียนอาจจะย่ำแย่ก็ได้ สู้ไปสอบเป็นปลัดอำเภอหรือทำงานอื่นๆ ดีกว่า อันนี้ก็ต้องเคารพความคิดของเขานะครับ เพราะนั่นอาจจะเป็นคำตอบของเขาเองก็ได้ แต่สำหรับเรา เราทนที่จะเป็นนักเขียน
 
0 กับคำว่า'ขาลง'ที่เขียนไว้ในคำนำ เพราะรู้สึกหรือเหตุผลอื่น?
 
จริงๆ เป็นเพียงการหยอกเย้ากับตัวเอง เพราะ 50 กว่าแล้ว และเราเป็นคนที่ไม่ประมาทกับชีวิตแบบนี้ ก็หยอกกับตัวเองไป แต่จริงๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะขาลงนะ เพราะเราก็ศึกษา ฝึกเขียนอยู่ตลอดเวลา อ่านงานของคนอื่น ดูเทคนิคการเขียนใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
 
0 ถ้าอย่างนั้นขาลงสำหรับนักเขียนคนหนึ่งเป็นไปในแง่ไหนได้บ้าง?
 
หนึ่ง อาจจะล้า อาจจะเหนื่อย สองคิด อะไรไม่ออก สาม เขียนแล้วก็คิดว่าเท่านั้น แล้วก็ยอมแพ้ พอหลังแตะพื้นแล้วก็ไม่ลุกแล้ว เพราะรู้สึกเหนื่อยและรายได้อาจจะไม่ได้มากมาย
 
0 'เรื่องบางเรื่องฯ'เป็นกำลังใจให้ตัวเองครั้งสำคัญ?
 
มากเลยครับ สำคัญเพราะว่า หนึ่ง ได้ทำมันเอง สอง ได้ลงเรื่องที่เราอยากลง (หัวเราะชอบใจ) แล้วมีบางเรื่องที่เพื่อนฝูงอ่านแล้วโทรศัพท์มาบอก-หนุกจังเลยพี่ หนุกจังเลยน้อง อันนี้มันก็โอเคแล้วครับ แต่ตัวผมเองตอนนี้ก็เตรียมเรื่องสั้นเรื่องใหม่ไว้เขียน 2-3 เรื่องซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาแล้ว พร้อมที่จะนั่งเรียบเรียงและวางพล็อตอยู่ตลอดเวลา แล้วหาข้อมูลเพิ่มเติม
 
0 เพื่อนฝูงบอกว่าสนุก แต่น้องๆ รุ่นใหม่กลับบอกว่าจบเหมือนไม่รู้เรื่องเลย จะอธิบายยังไงดี?
 
แบบนี้ผมทำมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ชุด 'สีของหมา' หรืออย่าง 'คาร์บูธเซลล์' ก็เหมือนกันคืออดทนที่จะไม่เฉลย อดทนที่จะเขียนให้มันพอดี ให้มันค้างอยู่ในใจคนอ่านไปคิดต่อ ถ้ามันจบเสียแล้วมันก็มีทางออกทางเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าเราจบในตอนที่ทำให้คนหวนคิด ตรงนั้นคือจบแล้วสำหรับผม แต่ตรงนั้นสมองคนอ่านต้องทำงานต่อ ไม่ใช่เรื่องของผมซึ่งเป็นนักเขียนแล้ว
 
0 อย่างนี้นักเขียนคงทำงานยากขึ้นหลายเท่า?
 
ถ้าเราทำบ่อยๆ เราจะรู้เองว่าจบตรงนี้แหละ อย่างเราทำมาตลอดตั้ง 20 กว่าปี เราก็คุ้นเคยว่าสำหรับเรามันจบตรงนี้ๆ จะรู้

0 หลายเรื่องมีตัวละครเป็นนักเขียนด้วย แต่เหมือน'เขียนไปด่าไป'…เกิดอะไรขึ้น?
 
ถือว่าเป็นการกัดนักเขียนครับ กัดนักเขียนคือ 'กัดตัวเอง' กัดสิ่งที่ตัวเองเป็น อย่าง 'ผ่านไปปีครึ่ง' ก็เขียนถึงการทำงานของนักเขียนคนหนึ่ง นักเขียนคนนั้นไม่ทำอะไรเลย นั่งอยู่ที่โต๊ะกินกาแฟกับอ่านหนังสือเท่านั้นน่ะ ไม่ขยับตัว นั่งบ้าๆ อยู่อย่างนั้นแหละ แต่จริงๆ คือเขาได้ยินอยู่นะ เห็นสาวก็ยังแอบเหล่แอบชอบอยู่นะ คือกัดตัวตนของนักเขียนตรงนั้นออกมาให้เห็นว่า แม้เห็นนั่งเฉยๆ แต่เขาอาจจะทำงานอยู่ในสมองก็ได้
 
0 แต่นักเขียนที่ถูกกัดมีชื่อของ'จำลอง ฝั่งชลจิตร'ด้วย?
 
ผมว่ามันถึงเวลาที่จะกัดตัวเองได้ แล้วเล่าผ่านคนอื่น อย่างจำลองมีคนมองว่าเมาจนยิ้มมีกลิ่นเหม็น แล้วชอบคบกับคนที่มีชื่อเสียง พอน้องเขาบอกว่าชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ จำลองก็บอกน้องเขาไปว่า หัดเขียนมานะ อย่างนี้ก็จะเห็นความกร่าง ความน่ารำคาญ คือเราสามารถจะหันไปมองแล้วกัดตัวเองได้บ้าง มันก็ดีนะ
 
0 ไม่กลัวภาพลักษณ์นักเขียนหรือ?
 
ไม่ได้คิดเลยสักนิดเดียว เพราะว่าถ้าเรากัดคนอื่นได้ เราก็ต้องกล้ากัดตัวเองได้จริงไหม อย่างน้อยเราสนุกที่จะเล่นงานตัวเองบ้าง ให้คนอื่นเขารู้จัก ไม่ได้กังวลอะไร อยู่ที่จิตใจว่าเราจะกล้าเล่นงานตัวเองได้แค่ไหน เพราะชีวิตคนเรามันมีวันผิดมีวันถูก มีวันที่จองหองเย่อหยิ่ง มีวันที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง แล้วเราก็หันไปตรวจสอบตัวเอง อาจพบว่าน่าขยะแขยง จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เราก็กล้าที่จะเขียนตรงนี้ แล้วผมมีเป้าหมายว่าถ้าอยู่รอดถึง 70 และถ้ายังมีความจำดีอยู่ ก็จะเขียนเรื่องที่กัดตัวเองตอนเป็นหนุ่มสักเล่มหนึ่ง เอาให้แหลกไปเลย สิ่งที่ตัวเองเคยเลว เคยดี เคยบ้า เคยเพี้ยน จิตใต้สำนึกเหล่านี้ต้องกล้าเขียนออกมาเพื่อเผยตัวตน และกระชากหน้ากากของตัวเอง
 
0 เหมือนคำสารภาพ?

มันอาจจะไม่เหมือนคำสารภาพ แต่มันต้องมีคติอุทาหรณ์ออกไป ถ้าเรากระชากหน้ากากตัวเองก็เท่ากับกระชากหน้ากากสังคม และชำระล้างตัวตนไปด้วย
 
0 อย่างนี้คงต้องมีหลักอะไรบางประการ?
 
ต้องซื่อสัตย์ต่อมัน แล้วก็สนุก มีศิลปะ เล่าให้ขัน ให้คนอ่าน อ่านแล้วรู้สึกหมั่นไส้ ซึ่งจริงๆ มันก็น่ารำคาญอย่างนั้นในวันที่เราเป็นคนหนุ่ม มันมีเวลาที่เราผิดพลาด ไม่เช่นนั้นเขาจะเรียกว่าประสบการณ์ได้ยังไงใช่ไหม หลักอย่างหนึ่งก็คือต้องให้คนอื่นได้เรียนรู้ เผื่อว่าผู้อ่านจะได้น้อมดูตัวเองว่าจริงๆ เราหนักกว่านี้นะ เหมือนเป็นกระจก แล้วการที่นักเขียนเริ่มสำรวจตัวเองบ้างก็น่าจะดี แก้ผ้าให้คนอื่นดู แต่เราต้องกล้าๆ
 
0 แนวคิดในการจับตัวละครจริง-ชื่อจริงมาลงในเรื่องด้วยเป็นอย่างไร?
 
เป็นการเกริ่นถึงอย่างตั้งใจ อธิบายบุคลิกเขาเล็กน้อยอย่างไม่ล่วงเกิน เช่น สุรชัย จันทิมาธร ก็เขียนในเรื่องปกติที่รู้กันอยู่แล้ว สมมติพี่หงาได้อ่านแกก็คงนั่งยิ้ม จริงมั้ย เพราะจากการที่ได้รู้จักพูดจาสนิทกันมา 20 กว่าปีมานี้ เขาก็ซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับและในเรื่องนี้เราก็เขียนว่า…ได้ข่าวว่าเขามักจะมีน้องๆ หน้าตาดีติดสอยห้อยตาม…อย่างนี้ก็สามารถที่จะเขียนถึงได้ คือ สิ่งที่เขียนเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วในเรื่องนั้นๆ และเป็นสิ่งที่คนรับรู้ในวงกว้าง แต่เราไม่ได้ด่าคนที่เอ่ยชื่อเลยนะ
 
0 หลักการเล่นแบบนี้เป็นอย่างไร?
 
มีการเลือกบุคคลครับ เพราะเราอยากจะเขียนถึงเพื่อนฝูงบ้าง ในวิธีที่เป็นงานศิลปะ เรื่องสั้นชุดนี้จึงได้เอ่ยถึงชื่อบุคคลเยอะมาก ถามว่าเราเขียนเพื่ออะไร ก็เพื่อจะบอกถึงลุงแจ๋ว (สง่า อารัมภีร) พี่เชิด (ทรงศรี) ในมุมดีๆ เป็นการแสดงความเคารพคิดถึงเพื่อน ชื่นชมครูบาอาจารย์ มันเป็นความคารวะอย่างหนึ่ง ต่อเพื่อน ต่อคนทำงานศิลปะด้วยกัน แต่ถามว่าเสียหายไหม ไม่มี เป็นการทำงานศิลปะอย่างหนึ่ง
 
0 อย่างเพลงมาลีฮวนน่าที่เลือกมาใส่ อาจถูกมองได้ว่านักเขียนคิดอะไรไม่ออก?
 
ไม่ใช่อยากจะใส่ก็ใส่นะ แต่มันสอดคล้องกับเรื่องที่สร้างไว้ทั้งหมดเลย หรืออย่าง 'เพลงคนล่าฝัน' ของพี่แอ๊ด คาราบาว ก็ใส่มันเพื่อให้เรื่องมันดำเนินต่อไป แล้วฉากมันพอดีด้วย ซึ่งจะเป็นความรู้สึกไหนก็ต้องอ่านใต้บรรทัด แล้วจะเห็นว่าเป็นความชื่นชมอยากจะเอ่ยเพื่อนมิตรสหาย และคนในเรื่องนี้เยอะก็จริง แต่เป็นความคารวะชื่นชม เราเป็นนักเขียน แล้วบอกว่าชอบ มันตรงไปหน่อยมั้งครับ
 
0 เรื่องสั้นชุดนี้บางเรื่องจริง บางเรื่องแต่ง แทบแยกไม่ออกเหมือนกัน?
 
ผมว่าเรื่องจริงกับเรื่องแต่งมันคล้ายๆ กันไปทุกที เหตุที่มันคล้ายๆ จริง เพราะเราเขียนจากเรื่องจริง แต่เรามีวิธีเล่า เรียบเรียงเสียใหม่ ด้วยวิธีและองค์ประกอบของเรื่องสั้น ใช้ภาษาที่มีน้ำมีนวลของภาษาวรรณกรรม จัดลำดับเรื่องเล่า การเอาตัวละครบางตัวซึ่งไม่มีในข่าวสารใส่เข้าไป ภายใต้การจัดวางโครงเรื่อง สีสัน อารมณ์ความรู้สึก มันถึงออกมาเป็นอย่างนี้ ซึ่งการเอาข้อมูลมาวางแล้วบิดด้วยเรื่องที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก จนคนอ่านก็รู้สึก อ้าว-มันเรื่องแต่งนี่นา หรือไม่ก็ เฮ้ย…มันก็มีจริงอยู่นี่นา ถือเป็นความท้าทาย
 
ส่วนหนึ่งคือเราอยู่กับข่าวสาร ทั้งเคยเขียนเคยอ่านข่าว แต่ข่าวปัจจุบันคนตื่นมาก็อยู่กับข่าวๆๆ เราจะทำข่าวอย่างไรที่เป็นรายละเอียด เป็น non-fiction พอเราพลิกนิดเดียว มันกลายเป็น fiction เลย ด้วยประโยคเพียงประโยคเดียว แล้วคนอ่านก็รู้แล้วว่ามันหลุดไปจากข่าวแล้ว วิธีการก็คือคุณต้องวางมาให้แม่น แล้วยกข้ามกำแพงเป๊ะเดียว แต่ถามว่าคุณแม่นแค่ไหนที่จะยกข่าวทั้งกองข้ามพรมแดนจากข่าวสารเป็นอารมณ์

0 กระแสจตุคามฯที่เปลี่ยน ทำให้เสียความตั้งใจด้วยหรือไม่?
 
ไม่เสียเลย เพราะว่าเราเป็นนักเขียน เรารู้แต่ไหนแต่ไรแล้วว่าเราเป็นนักเขียน เราเข้าไปลงที่นั่นเราก็เป็นอาชีพ หาข้อมูลมาเขียนลงในเนชั่นสุดสัปดาห์ เราเป็นนักข่าวสงครามเราไม่ได้ไปยิงใครนี่ เราเพียงแต่มีหน้าที่รายงานข่าว นักข่าวสงครามไม่ผิด บางทีโดนยิงมั่ง เราก็มีหน้าที่รายงานข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองนครฯ แล้วเราก็เลี้ยงตัวเองได้ในยามอย่างนั้น นักเขียนไม่จำเป็นต้องไปทนอดตาย เขียนงานเข้ามา หนังสือก็ขายได้ คนก็สนใจ
 
แต่เมื่อเราเป็นนักเขียน เราก็ต้องหยิบเรื่องนี้มาเขียนมาปรุงข้อมูลต่างๆ ต่อไป ถ้าเราเขียนนิยายจากจตุคามฯว่าด้วยเรื่องความบูมของจตุคามฯ เมื่อปี 2549-2550 มันเป็นนิยายเรื่องหนึ่งได้เลย เพราะว่าทั้งประเทศมาแวดล้อมนครศรีธรรมราช ทำไมเราจะเขียนไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเขียนแบบเรื่องที่ไม่เข้าท่าคงไม่ใช่ มันต้องมากไปกว่านั้น อย่างน้อยก็ได้เขียนเป็นเรื่องสั้นไปแล้วเรื่องหนึ่ง และยังจะมีนิยายเกี่ยวกับจตุคามฯ อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเก็บข้อมูลไว้พอสมควร อันนี้เป็นการทดลองปล่อยของก่อน (หัวเราะ)
 
0 มองเรื่องรางวัลยังไงบ้าง?
 
รางวัลเป็นกำลังใจนักเขียนครับ พอได้รางวัลแล้วหนังสือมันขายได้ เป็นที่สนใจ ซึ่งความจริงแล้ว อยากให้หนังสือที่พิมพ์ออกมาขายได้บ้าง หมายความว่าหนังสือไม่ดีก็ช่วยไม่ได้ที่คนไม่อ่านนะ แต่หนังสือที่เข้ารอบ น่าจะมีการจัดจำหน่ายหรือการพูดคุยการวิจารณ์กว้างขวางมากขึ้น ในโลกนี้ก็เป็นธรรมดาที่หนังสือได้รับรางวัลแล้วย่อมขายได้ อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลย เพียงแต่ว่ารางวัลบ้านเรามันน้อยไปหน่อยคนก็เลยไปมุ่งที่ซีไรต์ บางทีซีไรต์อาจจะยาวนานจึงทำให้กระแสความนิยมว่าเป็นรางวัลที่ได้รับการอ้างอิงแล้ว พอเล่มไหนได้ก็กลายเป็นหนังสือที่โรงเรียนต้องแนะนำให้นักเรียนอ่าน ครอบครัวต้องซื้อเข้าบ้านบ้างเท่านั้นเอง
 
0 หวั่นกระแสร้อนๆ ของซีไรต์ที่อาจเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า?
 
ไม่ๆ เราแก่เกินกว่าที่จะไปนั่งวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเหล่านี้แล้วนะครับ อะไรที่ผิดอกผิดใจบ้างก็เฉยๆ เสีย ยังไงมันก็ไม่ได้ทำลายเราให้เขียนหนังสือไม่ได้นี่ครับ ปล่อยให้หนังสือมันทำหน้าที่ของมันไปเถิดครับ แล้วตอนนี้ขี้เกียจไปกังวลละ ทำหน้าที่ของเราดีกว่า เพราะเราก็ได้ไปโต้แย้งขัดแย้งกับเขามาพอสมควรแล้ว เมื่อ 18-19 ปีที่แล้ว ก็ถือว่าหมดเวลาที่จะไปยุ่งเรื่องนั้นแล้ว นั่งอ่านหนังสือแล้วเขียนออกมาดีกว่า
 
…………………………….
 
เป็นอีกก้าวที่ยังไม่อาจสรุปได้ของนักเขียนคนนี้ แต่ที่แน่ๆ ป่านนี้ 'ของฝาก' ที่เขาส่งไปทางไปรษณีย์เมื่ออาทิตย์ก่อน คงถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว ตามที่เขาจ่าหน้าซองว่า 'ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมโอเรียนเต็ล' 0
 
————————————————
 
 
เซียนจตุคามฯ ชี้เหตุแห่งความเสื่อม
 
..ในฐานะที่เป็นคนท้องถิ่น รู้สึกเสียดายเสียใจที่เมืองคอนมีโอกาสที่สามารถสร้างชื่อเสียงและเศรษฐกิจจากการที่มีคนไปไหว้องค์จตุคามรามเทพได้ แต่คนนครฯส่วนหนึ่งก็ทำให้กระแสนี้หายไปเองคือการทำวัตถุปลอมบ้าง ทำไม่เสร็จบ้าง โกงบ้าง ฉ้อบ้าง แต่ในขณะเดียวกันคนนครฯก็ไม่ได้เป็นคนกลุ่มเดียวที่ทำจตุคามฯ มีคนจากทุกๆ จังหวัดเลยที่ทำ แล้วก็ไปสวดที่นครฯ แต่คนจำนวนหนึ่งที่ทำจตุคามฯ โดยที่ไม่ต้องไปที่นครฯ ก็มี เพียงแต่ไปเอาภาพพิธีจากที่นั่นไปใช้ประโยชน์ จึงทำให้จตุคามฯ เสื่อม และมีคนจำนวนมากกลุ่มหนึ่งที่ไม่ต้องทำอะไรเลยเกี่ยวกับจตุคามฯ คือทำพระปลอมขึ้นมาเกือบทุกรุ่นที่ดังๆ ก็ทำให้องค์จตุคามฯ เสื่อม ก็เสียดายโอกาสเหล่านั้น แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ มันอยู่ได้ด้วยความไม่จีรังหรอกสำหรับความศรัทธา
 
ในความเป็นคอลัมนิสต์ก็เข้าใจว่าได้รายงานสภาพที่เกิดขึ้นในนครฯ ค่อนข้างจะตามเหตุการณ์ตามเวลา มันคงไม่สมบูรณ์มากหรอก แต่ว่าก็ดีที่สุดแล้วเพราะเราอยู่ที่นั่น คนที่อื่นก็คงไม่ไปเฝ้าที่นั่นอยู่ตลอดเวลา แต่เราทำได้ เพราะเราบังเอิญอยู่ที่นั่น แล้วได้ไปฟังสวดเกือบทุกๆ พิธีที่ไม่ไกลเกินไป เฉพาะวัดพระธาตุและหลักเมือง หรือบริเวณใกล้ๆ เราก็ได้เห็น ในฐานะคนที่เขียนคอลัมน์ก็พยายามจะเอาเรื่องราวและรูปภาพที่เกิดขึ้นในนครฯมาสื่อในเนชั่นสุดสัปดาห์ได้เยอะที่สุดเท่าที่คอลัมนิสต์คนหนึ่งจะทำได้
 
ในฐานะนักเขียน ตลอดเวลาที่ลงไปดูข่าวสาร ไปติดตามความเคลื่อนไหวจตุคามฯ ก็มองเหตุ ทั้งเหตุของกระแส เหตุของความนิยม ขณะเดียวกันก็มองคนที่ไปสวดไปสร้าง ในฐานะที่เป็นตัวละครได้ เนื่องจากว่าเป็นวาระที่มีตัวละครเข้าไปหลากหลายมาก ตั้งแต่คนชั้นสูง นักการเมือง พ่อค้า เศรษฐี มหาเศรษฐี อดีตนายกรัฐมนตรี และเราก็มองในฐานะเป็น 'ตัวละคร' ที่พยายามหาเงินหาทุนจากการจัดสร้างจตุคามฯ หาบารมีจากการจัดสร้าง ไปเป็นข่าวเป็นกระแสจากการสร้าง ซึ่งด้านหนึ่งเขาก็ศรัทธาด้วย
 
แต่เหตุก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกับเมืองๆ หนึ่ง เมืองเก่าแก่เมืองหนึ่ง นักเขียนมองตรงนี้ แล้วคนใช้โอกาสและเหตุการณ์เหล่านี้ ว่าแสดงให้เห็นอะไรบ้าง ก็จะพบว่ามีทั้งความโลภ ความหลง การหักหลัง การต้มตุ๋น มีครบหมดในการจัดสร้างจตุคามฯ แล้วพื้นที่นครฯ ไม่ใช่พื้นที่สำหรับของการต้มตุ๋นนะ มันเป็นพื้นที่ทั่วไป คนกรุงเทพฯไปต้มตุ๋นคนนครฯ ก็มี คนนครฯ มาทำให้คนกรุงเทพฯ เจ็บปวดก็มี เช่น มาสั่งทำเหรียญ ทำๆ ไปแต่ปรากฏว่าเช่าไม่ได้ ประชาชนก็ไม่จอง มันทิ้งเหรียญไว้กับโรงงาน โรงงานก็ฟ้องเป็นเรื่องหนี้สินก็เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา แต่คนนครฯก็ต้องรับผลความเสื่อมเหล่านั้น
 
น่าเศร้าที่มีพระปลอมไปจากท่าพระจันทร์บ้าง ที่อื่นบ้าง เห็นเต็มไปหมดเลย แล้วคนที่ไปเช่าในวัดพระธาตุฯ เต็มไปด้วยพระปลอม เลวมากเลย เขาก็ยืมเมืองนครฯ คนนครฯ เป็นฉากขายพระปลอม เพราะคนไปที่นั่นกันเยอะ
 
นี่เป็นส่วนหนึ่งในสายตานักเขียนมองอย่างนี้ เป็นเรื่องจริงที่นำมาสร้างงานเขียนได้ แต่จะทำได้ก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเยอะเลย เพราะเมื่อเราเขียนถึงกระบวนการสร้างพระ สมมติฉากการเททองหล่อพระ เราก็ต้องหาข้อมูลของการหล่อ มีกี่ขั้นตอน หรือแม้แต่การจัดพิธีกรรม บายศรีมีกี่ชนิด ทางพราหมณ์พูดถึงอะไรบ้างเวลาเขาเชิญเทวดา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเขียนต้องหา หรือถ้าตัวละครเป็นพราหมณ์ แล้วถ้าเราเขียนฉากเททองเราต้องรู้ว่าการเททองพระเขาเทกันยังไง ต้องเป็นเทคนิคที่ต้องเขียนออกมาให้ได้
 
ตอนนี้หาภาพพิธีเหล่านั้น ไม่มีแล้ว หมดสิ้นแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะกลับมาอีก แต่สิ่งที่มันเหลือไว้ก็คือมีช่วงอยู่ช่วงเวลาหนึ่งคือปี 2550 คนทั้งประเทศไทยไปนครศรีธรรมราช ไปกราบไหว้และไปจัดสร้างจตุคามฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องอยู่ในเรื่องแต่ง ถ้าเป็นประวัติศาสตร์เดี๋ยวคนนครฯ ก็ลืม เราต้องแต่งเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้วจะเห็นว่ามันมีการได้บันทึกไว้ในรูปของการเขียนนิยาย ตอนนี้คนนครฯเขาลืมรุ่นไปหมดแล้ว ค่อยๆ ลืมแล้วมั่วไปหมดแล้ว รู้แต่จตุคามฯ แต่พอพูดถึงรุ่นก็ลืมกันหมดแล้ว นอกจากรุ่นดังๆ จริงๆ ส่วนรุ่นอื่นก็หายไป
 
เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านฉากการรายงานข่าวไปแล้ว ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของนักเขียนที่จะเขียนเรื่องเหล่านี้… 
 
จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ 20 ฉบับที่ 7101
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551
อิสรีอิน : รายงาน