งามพรรณ เวชชาชีวะ ซีไรต์หญิงคนที่ 5

งามพรรณ เวชชาชีวะ หรือเจน เจ้าของรางวัลซีไรต์ปีที่ ๒๗ นับเป็นผู้หญิงคนที่ ๕ ที่ได้รับรางวัลซีไรต์ เธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการร้อยเรียงถ้อยคำในหนังสือ ความสุขของกะทิ ที่ได้รับการแปลมาแล้วถึง ๔ ภาษา ให้นักอ่านทั้งชายและหญิงต่างสัญชาติ ต้องน้ำตารินด้วยสำนวนภาษาที่กินใจถ่ายทอดถักทอถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก และลูกมีต่อแม่ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยและต้องพรากจากกันชั่วชีวิต
ถึงตอนนี้ดิฉันตาย ก็นอนตาหลับแล้ว เพราะการเขียนหนังสือเป็นความใฝ่ฝันในชีวิตมานานแล้ว แต่ยังไม่สามารถเขียนได้จบเป็นเล่ม และความสุขของกะทิเป็นหนังสือเล่มแรกที่เขียนด้วยตัวเอง ไม่ใช่งานแปล งามพรรณ เวชชาชีวะ บอกเล่าความรู้สึกในวันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่โรงแรมโอเรียนเต็ล
งามพรรณ เวชชาชีวะ เล่าว่าเธอเกิดมาพร้อมๆกับโรคภัยไข้เจ็บเป็นประหนึ่งอาภรณ์ประจำกายมีอาการอัมพาตที่สมองน้อย หรือโรค Serebral Palsy คือสมองส่วนหนึ่งไม่สามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้ ส่งผลให้เธอมีอาการปวดศีรษะ ต้นคอเคล็ด หลังและแขนเจ็บขัดยอก รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยจนเขียนหนังสือไม่ได้ ต้องนอนหลับพักผ่อนและรักษาด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลเป็นประจำ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง
จริงอยู่การเป็นนักแปลหรือนักเขียนที่ดี จำเป็นต้องมีสุขภาพที่ดี จึงจะไม่บั่นทอนการทำงาน ด้วยเหตุนี้งามพรรณจึงต้องมีวิธีการบริหารเวลากับการเขียนหนังสือหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ ๒-๓ ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง เวลาที่นอกเหนือจากนั้นคือการทำงานอย่างอื่น เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงอิริยาบถอยู่เสมอๆ
นักเขียนรางวัลซีไรต์คนล่าสุด มีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทซิล์คโรดพับลิเซอร์ เอเยนซี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนลิขสิทธิ์วรรณกรรมให้นักเขียนและสำนักพิมพ์ทั่วโลกมาเป็นเวลา ๑๑ ปีแล้ว คำว่า Silk Road หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ทางสายใหม่ มีความหมายที่ดี คือการทำหนังสือจากโลกตะวันออกให้โลกตะวันตกอ่าน และหนังสือจากโลกตะวันตกให้โลกตะวันออกอ่าน เปรียบเหมือนมาร์โคโปโลพบเส้นทางติดต่อดินแดนแห่งตะวันออกเส้นทางสายไหม ผลจากการทำงานแปลทำให้งามพรรณได้รับอิสริยาภรณ์ศิลปะและอักษรศาสตร์ชั้นอัศวินจากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะผู้มีผลงานด้านวรรณกรรมและเผยแพร่วัฒนธรรมฝรั่งเศส
ชื่อของ งามพรรณ เวชชาชีวะ อยู่ในแวดวงนักเขียนมาโดยตลอด ในฐานะนักแปลคุณภาพที่คัดสรรงานแปลจากหนังสือดีเยี่ยมจากต่างประเทศมาให้คนไทยได้อ่าน อาทิ ด้วยรักและช็อกโกเลต แฮร์รี พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนีหนึ่งปีแสนสุขในโปรวองซ์ มาตาปารี เด็กชายจากดวงดาว ฯลฯ นอกจากนี้ยังแปลบทภาพยนตร์ภาษาฝรั่งเศส เรื่อง นกเพนนกวิน และ CLEAN แต่นวนิยายเรื่อง ความสุขของกะทิ เป็นผลงานเขียนเรื่องเล่มแรกของเธอ
วรรณกรรมไทยเรื่องความสุขของกะทิพิมพ์เป็นครั้งที่ ๖ แล้ว ได้รับการแปล ๔ ภาษา คือ อังกฤษ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และเยอรมัน บทแปลภาษาอังกฤษโดย Prudence Borthwick ได้รับรางวัลที่ ๒ จากการประกวดงานแปล John Dryden Translation Competition จัดโดยสมาคมวรรณคดีเปรียบเทียบแห่งอังกฤษ โดยสมาคมห้องสมุดเด็กในสหรัฐอเมริกาคัดเลือกให้เป็นหนังสือแนะนำให้บรรณารักษ์ทั่วสหรัฐอเมริกา เป็นการคัดเลือกจากหนังสือจำนวน ๑,๕๐๐ เรื่อง
ปีนี้นับเป็นปีที่ ๒๗ ของการมอบรางวัลซีไรต์ รายชื่อผู้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี ๒๕๔๙ จำนวน ๑๐ คน จากจำนวน ๖๔ เล่ม ที่ส่งเข้าประกวด งามพรรณเป็นผู้หญิง ๑ ใน ๒ ที่อยู่ใน ๑๐ อันดับซีไรต์ และคณะกรรมการได้คัดเลือกให้งามพรรณได้รับเลือกให้รับรางวัลซีไรต์ในปีนี้
ผลงาน ๑๐ เรื่องในรอบสุดท้ายได้แก่ กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ กลางทะเลลึก ของ ประชาคม ลุนาชัย เกียวบาวนาจอก ของ ภาณุมาศ ภูมิถาวร เขียนฝันด้วยชีวิต ของ ประชาคม ลุนาชัย ความสุขของกะทิ ของ งามพรรณ เวชชาชีวะ เด็กกำพร้าแห่งสรวงสวรรค์ ของ ภาณุ ตรัยเวช นอน ของ ศักดิ์ชัย ลัคนาวิเชียร ร่างพระร่วง ของ เทพศิริ สุขโสภา ลูกสาวฤษี ของ ปริทรรศ หุตางกูร และเล่นงาน ของ จิรภัทร อังศุมาลี
ซีไรต์ (S.E.A. Write : South East Asian Writers Awards) หรือรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ก่อกำเนิดในปี ๒๕๒๒ โดยริเริ่มจากฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ล เพื่อมอบให้กับกวีและนักเขียน ๑๐ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม แต่ละประเทศแยกกันจัดก่อนที่ผู้ได้รับรางวัลทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่ประเทศไทย
รางวัลซีไรต์แบ่งผลงานการประกวดออกเป็น ๓ ประเภท คือ นวนิยาย บทกวี และเรื่องสั้น ทุกปีจะหมุนเวียนกันไป แต่ละปีผลงานของกวีและนักเขียนที่ได้รับรางวัลหรือแม้แต่เข้ารอบสุดท้ายมักจะมียอดขายถล่มทลาย สิ่งเหล่านี้คืออิทธิพลของรางวัลซีไรต์ที่ปรากฏในสังคมไทย
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประธานคณะกรรมการดำเนินงานการประกวดรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประเภทนวนิยายประจำปี ๒๕๔๙ แถลงข่าวผลการตัดสินรางวัลจากนวนิยายที่เข้ารอบสุดท้าย ๑๐ เล่มสุดท้าย ที่ห้องรอยัลบอลลูน โรงแรมโอเรียนเต็ล พร้อมด้วยคณะกรรมการตัดสินรางวัลรอบสุดท้าย ได้แก่ รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ ประธานกรรมการตัดสิน และคณะกรรมการได้แก่ นายไมตรี ลิมปิชาติ ผศ.ตรีศิลป์ บุญขจร อ.นิตยา มาศะวิสุทธิ์ รศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ รศ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ และผศ.ธเนศ เวศร์ภาดา
ผลการตัดสิน คณะกรรมการตัดสินมีมติให้นวนิยายเรื่อง ความสุขของกะทิ ของ งามพรรณ เวชชาชีวะ ได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปีนี้ โดย รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา ประธานคณะกรรมการตัดสิน กล่าวว่า นวนิยายเรื่องนี้ใช้ภาษาที่เรียบง่าย กินใจ แต่เปี่ยมไปด้วยความคิดหนักๆ มากที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะคิดได้ ผู้เขียนได้สอดแทรกมุมมองว่า ถ้าหากหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ ก็ต้องเผชิญหน้าอย่างมีสติ ซึ่งตัวละครเด็กมีความรักความศรัทธาจากคนรอบข้างคอยโอบอุ้มให้เติบโตขึ้นมาได้ โดยผู้เขียนได้แฝงสาระระหว่างบรรทัดไว้มาก เชิญชวนให้ผู้อ่านนำไปพิจารณา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ขึ้นอยู่กับยุคสมัยหนึ่ง
แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา ด้วยความคิดคำนึง ความสุขของกะทิ เล่าเรื่องราวของกะทิ เด็กหญิงวัย ๙ ขวบ ที่กำลังจะสูญเสียแม่ที่ป่วยเธอถูกนำไปฝากอยู่กับตาและยายที่บ้านริมคลอง กะทิแอบคิดถึงแม่อยู่เงียบๆ แต่ไม่กล้าถามไถ่ให้ผู้ใหญ่ลำบากใจ จึงเก็บงำความรู้สึกคิดถึงและใคร่รู้เกี่ยวกับแม่ไว้แต่ในใจเพียงลำพังเสน่ห์ของเรื่องราวในเล่มนี้ จึงอยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อยๆเผยปมปริศนาปัญหาทีละน้อยๆ ชิ้นส่วนที่หายไปในชีวิตของกะทิ อารมณ์สะเทือนใจจะค่อยๆพัฒนาและดิ่งลึกในห้วงนึกคิดของผู้อ่าน นำพาให้ผู้อ่านอิ่มเอมกับรสแห่งความโศกเศร้า แต่เขียนด้วยการมองโลกในแง่ดี เรียกได้ว่าความสุขแบ่งปันกันได้ ไม่ห่างไกลจากชีวิตจริงคนไทยเท่าใดนัก
แม่ของกะทิป่วยด้วยโรคเอ แอล เอส เป็นโรคร้ายที่แม่เริ่มเป็นเมื่ออายุ ๓๓ ป่วยมานาน ๕ ปี ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เป็นเรื่องบังเอิญที่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาของงามพรรณเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องโรคนี้ จึงสามารถให้ข้อมูลประกอบการเขียนของเธอได้เป็นอย่างดี
เรื่องนี้ก็เหมือนเป็นคำถามว่า ระหว่างสิ่งที่หายไปกับสิ่งที่มีอยู่ เราควรจะเลือกให้ความสำคัญกับอะไรตรงไหน หรือต่อให้มีอะไรหายไปแล้วเรายังจะมีความสุขได้ไหม
งามพรรณเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่เขียนหนังสือจนได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลซีไรต์ว่า
ความสุขเล็กๆน้อยๆที่เจนจินตนาการคือบ้านหลังน้อยริมคลองและเด็กผู้ญิงชื่อกะทิ สร้างความสุขให้เกิดแก่ผู้อ่าน และทำให้เกิดความสุขขึ้นอีกชั้นหนึ่งในใจผู้เขียน มีความต่างไปจากการทำงานใดๆที่ผ่านมาและกลายเป็นแรงใจให้สร้างสรรค์งานต่อไป เรื่องซีไรต์นี่ถือเป็นของแถมเลย แต่การมีบรรยากาศประกวดงานซีไรต์ก็ทำให้วงการวรรณกรรมคึกคักดี
งามพรรณได้รับทราบข่าวรางวัลซีไรต์ ในขณะที่กำลังทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบายพร้อมมิตร ทำให้เธอถึงกับตะลึงกับข่าวดีที่ได้รับทางโทรศัพท์จากประชาสัมพันธ์โรงแรมโอเรียนเต็ลให้มาร่วมงานแถลงข่าวในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับยอมรับว่าเป็นของขวัญที่วิเศษ เนื่องจากเธอโตมากับการอ่านงานเขียนซีไรต์ อาทิ ลูกอีสาน ตลิ่งสูงซุงหนัก เมื่อได้รับทราบข่าวดีก็โทรศัพท์ถึงคุณพ่อเป็นคนแรก จากนั้นสมาชิกในบ้านรวมถึงเพื่อนฝูงก็โทรศัพท์มาแสดงความยินดีจนถึงดึกดื่นเกือบเที่ยงคืนทำให้เธอเสียงแหบแห้งในเวลาในกี่ชั่วโมง
รางวัลซีไรต์นี้ เจนขอยกความดีให้คุณพ่อคุณแม่ เคยคิดอยู่ว่าจะมีวันนี้สำหรับเจนหรือไม่ เพราะตลอดเวลาคุณพ่อ คุณแม่เป็นกำลังใจสนับสนุนว่าลูกทำได้มาโดยตลอด งามพรรณตอบอย่างไม่ลังเลใจ
งามพรรณ เวชชาชีวะ เกิดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๐๖ เธอเติบโตในครอบครัวแพทย์บิดาคือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ มารดาคือ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสดใส (สูตะบุตร) เวชชาชีวะ มีพี่น้องทั้งหมด ๓ คน มีพี่สาว ๑ คน คือ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอลิสา วัชรสินธุ์ (จิ๊บ) เป็นจิตแพทย์เด็ก งามพรรณเป็นคนกลาง และมีน้องชาย ๑ คน คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (มาร์ค) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
งามพรรณเล่าความหลังอย่างอารมณ์ดีว่าปีที่เธอเกิด ในลอนดอนเด็กผู้หญิงจะได้ชื่อว่าเจน เป็นชื่อยอดฮิตของเด็กผู้หญิงในปีนั้น คุณแม่บอกว่าจำง่ายดี เพราะต้องไปฝากเลี้ยงที่โรงพยาบาล เนื่องจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต้องทำงานทั้งคู่
คุณแม่ต้องผ่าท้องเพื่อคลอดลูกทั้ง ๓ คน เจนโตที่ลอนดอนจนถึง ๓ ขวบ แต่กลับไปอังกฤษบ่อย เมื่อคุณแม่พามาร์คไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่อายุ ๑๑ ปี ช่วงนั้นเจนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงพยาบาล อ่านรู้บ้างไม่รู้บ้างแต่ก็ประทับใจที่ได้อ่านหนังสือ เพราะคุณแม่ต้องทำงานวิจัยที่อังกฤษ คุณพ่อทำงานที่เมืองไทย พวกเราพักกันที่บ้าน คุณอาวิทยา เวชชาชีวะ งามพรรณเล่าบรรยากาศความหลังที่ทำให้รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจในทุกสถานการณ์
เด็กๆจำได้ว่าคุณพ่อทำงานหนักมาก ทุกวันอาทิตย์คุณพ่อตรวจคนไข้ตามบ้านย่านสุขุมวิท เราเด็กๆก็รออยู่ในรถยนต์ เมื่อเสร็จงานคุณพ่อจะพาไปร้านอาหาร ทุกคนในบ้านมีกิจกรรมคือการอ่านหนังสือเจนอ่านสกุลไทย สตรีสาร ตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าอ่านงานของ คุณกฤษณา อโศกสิน เรื่องตะวันตกดิน ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม อ่านไม่รู้เรื่องก็อ่าน อ่านบทความ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ คุณแม่ยังมีกิจกรรมอย่างอื่น ทำขนม เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เราโตกันที่บ้านหลังนี้
นักเขียนในดวงใจของงามพรรณ คือ กฤษณา อโศกสิน สุวรรณี สุคนธา เพราะงานของนักเขียนทั้งสองท่านนี้สามารถให้จินตนาการเป็นภาพวาดได้ทุกฉาก โดยเฉพาะการบรรยายเสียงทุกวันนี้เธอยังรู้สึกประทับใจในบรรยากาศเก่าๆเหล่านั้นแม้วันนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่การเติบโตมากับงานเขียนดีๆทำให้รักงานเขียนหนังสือ
งามพรรณเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนศรีวิกรม์ ปริญญาตรีจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกวิชาภาษาฝรั่งเศส (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) กระทั่งมาศึกษาต่อที่โรงเรียนล่ามและแปลของรัฐบาลเบลเยี่ยม ณ กรุงบรัสเซลล์ ได้รับประกาศนียบัตรการแปลชั้นสูง (ฝรั่งเศส-อังกฤษ-อิตาลี)
งามพรรณเคยเป็นลูกศิษย์วิชาภาษาฝรั่งเศสของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นรุ่นสุดท้าย รุ่นพี่กำชับว่าถ้าทรงรับสั่งถามต้องตอบทันที จำได้ว่าเรียนกวีนิพนธ์ฝรั่งเศสอยู่ปี ๒ รับสั่งภาษาฝรั่งเศสเหมือนชาวฝรั่งเศส และบรรยายว่า ไม่มีใครอยากสอนวิชานี้เพราะเป็นเรื่องโบราณ ทรงรับสั่งเป็นภาษาไทยในบางครั้ง เพราะลูกศิษย์ทำหน้าตาเหรอหราเจนนึกในใจว่า วันหนึ่งจะต้องพูดภาษาฝรั่งเศสได้ไพเราะแบบพระองค์ท่าน ส่วนหนึ่งที่สนใจงานวรรณคดี เพราะได้เรียนกับพระองค์ท่านด้วย
ในงานถวายพระพร ๘๐ พรรษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ที่วังเลอดิศ งามพรรณ เป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าเพื่อถ่ายรูป ทรงมีรับสั่งว่าฉันจำรุ่นเธอได้ มีเด็กผู้ชายเรียนกัน ๒ คน แล้วคุยกันตลอดเวลาจนฉันต้องดุ วันนั้นเพื่อนผู้ชายสองคนคุกเข่า แล้วพระองค์ท่านรับสั่งกับเจนว่า ขอบใจนะส่งหนังสือมาให้อ่านอยู่เรื่อยๆ ยังไม่มีเวลาทำจดหมายขอบใจเลย เจนรู้สึกปลื้มมากๆค่ะ
จากการมีผลงานแปลภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาเลี่ยน ตีพิมพ์กว่า ๑๕ เรื่อง งามพรรณบอกถึงวิธีการเลือกหนังสือของเธอว่า ชอบวรรณกรรมร่วมสมัย เพราะอยากให้คนอ่านรู้จักกับนักเขียนในปัจจุบัน อย่างเช่น ผลงานแฮร์รี พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี ที่แปลในเล่มสี่ ก็ช่วยให้รู้ถึงการใช้ภาษาอย่างอัจฉริยะของ เจเค โรว์ลิ่ง ผู้เขียน จนการแปลเล่มนี้เหมือนเป็นการ ประดาบ ระหว่างผู้เขียนและผู้แปล ในเรื่องการใช้ภาษาทีเดียว
อย่างไรก็ดี แม้งานแปลจะถือเป็นงานเขียนอย่างหนึ่ง แต่งานแปลคือการไล่ตามเงาของผู้อื่น ถ่ายทอดในสิ่งที่ไม่ใช่จินตนาการของตัวเอง เมื่อสบโอกาส เธอจึงหยิบปากกามาถ่ายทอดผลงาน ความคิด ในแบบของเธอ หลังจากเคยเขียนเรื่องสั้นให้นิตยสารสตรีสารมาในวัยเด็ก
ตลอดปี ๒๕๔๖ งามพรรณ ต้องแปลหนังสือถึง ๓ เล่มติดกัน เมื่อเสร็จแล้ว จึงขออยู่สบายๆ สักหนึ่งเดือน แต่เมื่อผ่านไปสองสามวัน จึงให้การบ้านตัวเอง ลองเขียนอะไรสักชั่วโมงทุกวัน ดูสิจะทำได้ไหม คิดว่าเขียนเรื่องเด็กๆก็ดีนะ คือการได้เสนอมุมมองจากสิ่งที่เด็กมอง คงน่าสนใจ ประกอบกับในช่วงหนึ่งได้ดูแลลิขสิทธิ์นิทานสี่ภาคให้มูลนิธิเด็ก จึงได้นำข้อมูลหนังสือเรื่องบ้านไทยภาคกลางที่ใช้เป็นข้อมูลเขียนนิทานมาอ่าน เรื่องบ้านริมน้ำจึงกลายเป็นที่มาของ ความสุขของกะทิ
งามพรรณเล่าว่าการเขียนเรื่องนี้ไม่มีพล็อต หรือเค้าโครงจากเรื่องจริงแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้เวลาหลังเลิกงานแล้ว นั่งอยู่หน้าคอม เขียนวันละบท แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบดูหนัง อ่านหนังสือแนวลึกลับ สอบสวน จึงตั้งปมในเรื่องของเราขึ้นมา สตีเฟน คิง นักเขียนระดับโลกที่มีความสามารถในการจูงใจคนอ่านบอกว่า โอกาสที่คนอ่านจะให้คนเขียนว่าจะตามอ่านต่อไปหรือเปล่า การเขียนเรื่องของเด็ก มีเทคนิคอะไรที่กระตุ้นให้คนอ่านอยากรู้แล้วไม่ได้รู้บ้าง จึงเริ่มต้นด้วยคำว่า แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา แล้วแม่ไปไหน…คิดแค่นี้ ว่าทำอย่างไรให้คนอยากอ่านไปเรื่อยๆ อีกทั้งเจตนาในการเขียนไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้เด็กหรือผู้ใหญ่อ่าน เป็นเรื่องที่เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี
บุคคลที่เปิดโลกงานแปลหนังสือเด็กคือ นภัส (สุจินดา) อัศวไชยชาญ หัวหน้าข่าวหน้าสตรีหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นผู้ชักชวนให้งามพรรณแปลงานวรรณกรรมสำหรับเยาวชนชิ้นแรก เรื่องเฟรเดอลิกซ์เพื่อนรัก ด้วยการเปิดเนื้อที่สยามรัฐฉบับวันอาทิตย์ให้ จากนั้นงามพรรณก็ยึดอาชีพแปลหนังสือเด็กและหนังสือปรัชญา ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง
บรรยากาศบ้านภายในซอยสวัสดี สุขุมวิท ๓๑ ในครั้งโน้น เป็นบ้านหลังๆ มีรั้วรอบขอบชิด มีต้นไม้ใหญ่เกือบทุกบ้าน บ้านแต่ละหลังจึงอยู่ใต้ร่มครึ้มของไม้ใหญ่ สมาชิกในครอบครัวเวชชาชีวะอยู่บ้านที่ปลูกสร้งาในอาณาบริเวณเดียวกัน รั้วเดียวกัน งามพรรณอยู่หลังเดียวกับบิดามารดา อภิสิทธิ์-ดร.พิมพ์เพ็ญ (ศกุนตาภัย) เวชชาชีวะ พร้อมบุตรสาวและบุตรชายอยู่อีกหลังหนึ่ง
หลานๆของงามพรรณมี ๔ คน บุตรสาว-บุตรชายของอภิสิทธิ์-ดร.พิมพ์เพ็ญ คือ ปราง หรือมะปราง วัย ๑๖ กำลังเรียนที่โรงเรียนบางกอกพัฒนา ปัณณ์สิทธิ์ (ปัณณ์) เวชชาชีวะ วัย ๑๓ เรียนอยู่โรงเรียนสาธิตเกษตรศาสตร์ ส่วนบุตรชายของ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอลิสา และ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพงษ์ วัชรสินธุ์ คือ พศุตม์ (อะตอม) วัย ๑๖ เรียนโรงเรยนชูสเบอรี่ และพริษฐ์ (ไอติม) วัย ๑๓ กำลังจะไปเรียนที่อีตัน ประเทศอังกฤษ
หลานทั้ง ๔ ชอบอ่านหนังสือด้วยกันทุกคน งามพรรณเล่าถึงปรางอย่างสนุกสนานว่า เมื่อแฮร์รี พอตเตอร์ พ่อมดน้อยแห่งโรงเรียนเวทมนตร์ฮอกวอร์ด เปิดประตูสู่โลกผจญภัยของเด็กๆได้รับการแปลจากสุมาลี และงามพรรณเป็นบรรณาธิการ วางจำหน่าย ปรางตื่นเต้นมาก เข้ามาถามอภิสิทธิ์ว่า พ่อ ป้าเจนชื่อจริงชื่องามพรรณใช่ไหม ตอนนั้นปรางเพิ่งจะ ๙ ขวบ เขาไปอ่านหนังสือแฮร์รี พอตเตอร์ ที่โรงเรียนจิตรลดา แทบไม่เชื่อว่าป้าที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จะเป็นบ.ก.หนังสือ จากนั้นมาเขามองป้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปว่าป้าเป็นนักแปลหนังสือ
เมื่อปรางย้ายมาเรียนโรงเรียนบางกอกพัฒนา หลังเลิกเรียนจะเข้ามาเดินหาหนังสือในออฟฟิศของงามพรรณ ป้าเจนมีหนังสืออะไรให้ปรางบ้าง เพราะปรางต้องย่อเรื่องส่งครู บรรยากาศของออฟฟิศงามพรรณจึงเป็นเสมือนหนึ่งบ้านแห่งความรักและความอบอุ่นของเพื่อนร่วมงานและครอบครัว
บ้านหลังนี้ทุกคนในครอบครัวชอบรับประทาน Dark Chocolate เริ่มต้นจากคุณพ่อ ศาสตราจารย์ นายพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มต้นก่อน ใครเดินทางไปไหนจากแดนไกลบ่อยๆก็ต้องซื้อช็อกโกเลตพกใส่กระเป๋ามาฝากกันเสมอๆ การกินช็อกโกเลตในบ้านนี้จึงเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งของชีวิต
สำหรับอภิสิทธิ์น้องชายงามพรรณเล่าว่า อภิสิทธิ์ไม่เคยท้อถอยในงานการเมือง เรียนรู้การเมืองอย่างต่อเนื่อง ทุกเรื่องทุกประเด็นเก็บเข้าลิ้นชักความทรงจำ แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ทำธุรกิจมาก่อน ตลอดเวลาทุ่มเทให้กับงานการเมือง ทุกคนในครอบครัวให้การสนับสนุนเพราะเห็นความตั้งใจ บางครั้งเราล้อเลียนว่า มาร์คใช้ถ่านอัลคาไลน์ยี่ห้ออะไร เช้าขึ้นคนขับรถไปส่งที่สนามบิน จากนั้นมีคนมารับไปยังจังหวัดต่างๆ เรานับถือเขา แต่เมื่อเขากลับบ้านก็มีโลกส่วนตัวของเขา มาร์คชอบฟังเพลงร็อค เพลงดุๆทั้งนั้น แต่เจนชอบฟังเพลงแจ๊ซซ์ ป๊อป โดยเฉพาะเพลงของ นภ พรชำนิ งามพรรณเล่าถึงไลฟ์สไตล์และการทำงานของน้องชายอย่างเป็นกันเอง
ความสุขแบบเรียบๆง่ายๆของทุกคนในครอบครัวเวชชาชีวะคือ การไปนอนนับดาวที่คอนโดมิเนียมย่านหัวหินเป็นประจำ รับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว และพักผ่อนด้วยกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หัวข้อสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมเด็ก ต่างคนต่างมีมุมอ่านหนังสือโปรด ด้วยแต่ละคนมีอาชีพที่แตกต่างกัน สำหรับ งามพรรณ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะได้รับรางวัลซีไรต์หรือไม่ก็ตาม ความสุขของเธอก็คือการทำงานที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ และล่าสุดผลงาน ความสุขของกะทิ ก็คือสิ่งที่เธอจะแบ่งปันความสุขที่มีแก่ผู้อ่านทุกคน
ขอบคุณเรื่องราวจากนิตยสาร : สกุลไทย
ขอบคุณเรื่องราวจากนิตยสาร : สกุลไทย