คุยกับ สุรชัย จันทิมาธร

เก็บคำให้สัมภาษณ์ของสุรชัยมาร้อยเรียงขึ้นใหม่ เหมือนเรานั่งคุยกันเพื่อรำลึกถึงวันวานที่เรารู้จักกันมาเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว
เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งขมขื่นและชื่นใจ ชีวิตที่เปลี่ยนผ่านมาแต่วัยเด็กจนวันนี้เขาอายุครบ 60 ปี ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกรู้สมกับอายุ 60 ปีของเขาเลย เขายังคงดำรงชีวิตเป็นนักร้องที่เที่ยวพเนจรไปตามจังหวัดต่างๆ ของประเทศที่มีคน เรียกหา ให้เขาไปร้องเพลง พร้อมวงดนตรีของเขา กลับมากรุงเทพฯเป็นครั้งคราว ได้พบกันบ้างไม่ได้พบบ้าง มีโทรศัพท์เป็นเครื่องสื่อสารสารทุกข์สุกดิบ
เมื่อเขาอายุ 60 ปี นึกอยากทำอะไรให้เขาสักอย่างหนึ่ง และนึกได้เพียงจัดงานคอนเสิร์ตเกียรติยศให้เขา เพื่อประกาศคุณูปการที่เขามีต่อวงการเพลงและสังคมไทย เชื่อว่าเขาเป็นตำนานบทหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ผู้คนยังระลึกถึง ระลึกถึงในตอนที่เขามีชีวิตอยู่ด้วย มิใช่รอให้เขาตายจากไปแล้วค่อยมาระลึกถึงคุณงามความดี แล้วก็จบกันเพียงเท่านั้น
ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมามอบเกียรติยศ ตำแหน่ง เพราะรู้อยู่ว่าสังคมนั้นไม่เคยมอบความเป็นคนดีให้กับใครได้ เป็นตำแหน่งเป็นเกียรติยศที่หลอกหลอนเราอยู่ทุกวันนี้ และสังคมก็คงไม่ซาบซึ้งในความสามารถของเขา ผลงานเพลงของเขา บทกวี เรื่องสั้น ที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นเพราะเขาเป็นเพียงนักร้องพเนจรคนหนึ่งที่มาจากเด็กบ้านนอกคอกนา
คงมีแต่เพื่อนของเขาบางคนเท่านั้นที่รู้และซาบซึ้งตรึงใจกับผลงานของเขาเสมอมา แม้เพื่อนบางคนจะอาศัยเพียงชื่อเสียงและเพลงของเขาไปทำเงินทำการค้าได้บ้าง
ชีวิตของเขาดำเนินไปตามธรรมชาติเพราะเขาเชื่อว่า "โลกกำเนิดโดยธรรมชาติ หลายสิ่งหลายอย่างเติบโตและเป็นไปตามธรรมชาติ"
เมื่อถามถึงวัยเด็กเขาตอบว่า "เติบโตมาในชนบท ครอบครัวของเราเป็นชนชั้นกลาง ไม่ถึงขนาดยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่รวยฟู่ฟ่า ไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดอวดใคร อยู่กันค่อนข้างอัตคัดแต่ก็มีความสุข"
"ทุกเสาร์อาทิตย์หน้าน้ำ พ่อจะชวนลูกๆ ออกทุ่งไปวางเบ็ด ทั้งเบ็ดราวเบ็ดคัน หาปลามาตากแห้งเป็นเสบียงอาหารสำหรับครอบครัว ปลาที่ผมคุ้นเคยในสมัยนั้นคือปลาหลดซึ่งได้มาจากเบ็ดราว ผมเรียนรู้วิธีจับปลามาจากพ่อ ไม่ว่าจะเบ็ด แห แม้กระทั่งหลุมโจน ชีวิตท้องทุ่งให้การเรียนรู้มากมายมหาศาลแก่ผม ว่าไปแล้วน่าจะมากกว่าห้องเรียนด้วยซ้ำ"
"ผมเติบโตมาพร้อมอารยธรรมสมัย อันประกอบไปด้วยกางเกงขาลีบ (เดฟ) เอวต่ำ เข็มขัดโต และผมทรงอเมริกัน (ลานบิน) โตขึ้นอีกหน่อย ถึงมีทรงผมแบบเอลวิส ทั้งที่ผมตัวเองหยิกหยองก็ยังอยากจะเป็นเอลวิส แม้แต่พวกหน้ากร้อ คอสั้น ฟันเหยิน ก็ ด้วย…"
เมื่อเข้ามากรุงเทพฯ เขามุ่งมั่นที่จะเป็นศิลปินเขียนรูป ไปสอบเข้าเพาะช่างตั้งหลายครั้งไม่ได้ มาได้ที่ช่างศิลป์เอาเมื่อตอนอายุยี่สิบแล้ว เมื่ออยู่กรุงเทพฯ ได้อาศัย "อาของเสถียรคือพ่อผมเอง เขาเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯก่อน เป็นคนทำหนังสือและชอบกลิ่นน้ำหมึก ผมได้รับหลายๆ อย่างจากเขา อาศัยบ้านเขาอยู่ หนังสือที่มีอยู่บ้านเสถียร ผมก็ได้อ่านด้วยเพราะก่อนหน้าที่จะมากรุงเทพฯ พ่อผมก็เป็นนักอ่าน พ่อเป็นครู เป็นข้าราชการเร่ร่อน ไม่มีทรัพย์สินที่ดิน บ้าน อาศัยอยู่บ้านหลวง พ่อชอบอ่านหนังสือ พ่อเป็นสมาชิกนิตยสาร สยามสมัยรายสัปดาห์ ผมก็อ่านตามพ่อ"
"เสถียร คือเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการบริหารนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ปัจจุบัน"
"ตอนเรียนช่างศิลป์ ผมเขียนกลอนไปลง ชัยพฤกษ์ เขียนไปอันแรกก็ได้ลงพิมพ์ ได้ค่ากลอนมา 25 บาท ตอนนั้นอาจารย์เปลื้อง ณ นคร เป็นบรรณาธิการ หลังจากนั้นผมก็เขียนส่งต่อเนื่อง เป็นรายได้ช่วยให้ชีวิตผมดีขึ้น"
"แล้วผมก็ได้เข้าไปทำหนังสือกับมนัส สัตยารักษ์ นิตยสาร สามยอด รายเดือน และไปช่วยทำ มหาชน อีกเล่มหนึ่ง
"แล้วเขียนเรื่องสั้นในยุคนั้น จนได้พิมพ์เป็นเล่ม ชื่อ มาจากที่ราบสูง และต่อมาเป็นเล่มสอง เดินไปสู่หนไหน ได้เพื่อนคนหนึ่งชื่อไพบูลย์ วงษ์เทศ เพื่อนเรียนช่างศิลป์ด้วยกันเป็นคนออกแบบปก ที่ผมดีใจมากคือตอนที่เขียนเรื่องสั้นส่งสยามรัฐ ที่มีครูมูล ประมูล อุณหธูป เป็นคนคัดสรรเรื่องสั้นลงตีพิมพ์ ได้ลงซ้อนกันสองอาทิตย์เลย"
"ช่วงนั้นมีชมรมพระจันทร์เสี้ยวเกิดขึ้นที่ธรรมศาสตร์ ผมก็เข้าไปคลุกคลีด้วย ตอนนั้นมีเพื่อนอยู่หลายคน คำรณ คุณดิลก วินัย อุกฤษณ์ วีรประวัติ วงศ์พัวพันธ์ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ฯลฯ ช่วงนี้เองที่ชีวิตการเรียนของผมขาดหาย เพราะมามุ่งมั่นที่จะเป็นนักเขียน พอมีเงินเลี้ยงตัวเอง การเรียนที่เรียนอยู่ก็ต้องหยุดไป"
"ผมชอบวาดเขียนกับเรียงความ แต่วิชาคำนวณนี่ได้ศูนย์ เพราะส่งกระดาษเปล่าเป็นประจำ วันหนึ่งผมบอกพ่อว่า พ่อมีเงินส่งเดือนละแค่สามร้อยบาท อยู่ยังไงก็ไม่พอค่าใช้จ่าย พ่อบอกว่า ไม่ต้องเรียนหรอก ผมก็ตกลงไม่เรียน"
"ชีวิตนักเขียนมันยากจนมาก" เขาบอกเพื่อนหลายคน
เมื่อเขามาเป็นนักร้องเขาก็ยังยากจนอยู่ดี เพราะเขาเกิดมาเพื่ออยู่กับความยากจน เมื่อเขาเริ่มเขียนเพลงก็จะเขียนหนังสือไม่ได้ ถ้าไปร้องเพลงก็ไม่ได้เขียนหนังสือ ถ้าเขียนหนังสือก็ไม่ร้องเพลง
ในช่วงนั้นออกจากโรงเรียน ไปอยู่กับเพื่อน มีนักเขียน กวี ก็เขียนเรื่องสั้นบ้าง กวีบ้าง รับจ้างออกแบบปกหนังสือเพื่อน เขียนรูปประกอบเรื่องให้นิตยสารต่างๆ พออยู่ได้ พอมีเงินกินเหล้า กินเหล้ากันทั้งปี เมากันทุกวัน
วันหนึ่งอยากหัดเล่นกีตาร์ ก็ไปขอเพื่อนมาตัวหนึ่งก็หัดเล่น แต่งเพลง แล้วเอามาร้องให้เพื่อนฟัง ร้องในวงเหล้า ในช่วงนั้นมีการต่อต้านของประชาชนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมเรื่องกฎหมาย เรื่องการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน เราก็ไปร่วมกับเขา พอว่างไม่มีพูดไม่มีปลุกระดม ก็ต้องมีเพลงไปช่วย เราก็ออกไปร้องกับคนที่มาชุมนุม เพลงไม่มีก็เลยต้องแต่งเพลงเพื่อร้องในงาน นั่นเป็นช่วงก่อน 14 ตุลาคม 16
ตอนนั้นร้องอยู่คนเดียว มีเพื่อนมาช่วยร้องบ้าง แต่ยังไม่ได้ตั้งวงคาราวาน เป็นวงชื่อ ท.เสนและสัญจร ท.เสน เป็นนามปากกาของเขา สัญจร เป็นนามปากกาเพื่อน จนเพื่อนจากเทคนิคโคราชที่มีวงอยู่แล้วชื่อ บังคลาเทศ แบนด์ มารู้จักกันแลกเปลี่ยนเพลงกันเล่น มีพัฒนาการมากขึ้นเราก็เลยรวมกัน ตั้งเป็นวงคาราวานแต่นั้นมา
เพลงของเขาก็เกิดขึ้นมากมายในช่วงนั้นเป็นร้อยๆ เพลง จนถึงช่วง 14 ตุลาคม 16 คาราวานก็เป็นขวัญใจของพวกนักต่อสู้ นักศึกษาประชาชน สามสี่ปีที่คาราวานทำงานเพลงกันอย่างจริงจัง
จนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 19 คาราวานต้องเข้าป่าไปพร้อมกับพวกนักศึกษาประชาชนที่ถูกปราบปราม
กลับจากป่าเขาก็มาเปิดตัวอีกครั้งหนึ่งด้วยคอนเสิร์ตเพื่อยูนิเซฟ ซึ่งจัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์มติชน เป็นการเปิดตัวของวงคาราวานอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หายเข้าป่าไปสี่ห้าปี เป็นการกลับมาที่สง่างามและยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้
สุรชัย จันทิมาธร ก็ยังคงเป็นตัวของเขาเองอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง คาราวานครบรอบปีที่ต้องจัดแสดงเขาก็พร้อมเสมอ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและประชาชน แม้จะเคยเลิกวงกันไปบ้างในบางปีเพื่อจะหลบหลีกความเบื่อหน่าย สุรชัย จันทิมาธร ก็ยังเป็นตัวของตัวเอง ยังคงเดินทางไปร้องเพลงในต่างจังหวัดที่เรียกหา เมื่อไม่มีวงคาราวานแล้ว เขาก็ยังตั้งวงของตัวเองรับงาน เพื่อยังชีพ
หากเมื่อไรเราได้อ่านงานเขียนของเขาในหน้านิตยสาร นั่นหมายถึงเขาหยุดร้องเพลง งานเขียนหนังสือจึงเป็นความหวังที่เขาตั้งใจมั่นที่จะทำเมื่อไม่สามารถไปร้องเพลงได้อีกแล้ว
สุรชัย จันทิมาธร ในวัย 60 ปี ยังแข็งแรงและมีพลังที่จะสร้างสรรค์งานเพลงต่อไป อีกนาน อีกนาน และอีกนาน
โดย นิวัติ กองเพียร
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11004