Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

คุยกับ ‘ณรงค์ จันทร์เรือง’ เรื่องวงการนักประพันธ์ไทย

 

           
 
          ‘นัดพบนักเขียน’ ฉบับนี้ ทางกองบรรณาธิการต้องการหาบุคคลที่จะมาคุยเรื่องนักประพันธ์ไทยแบบจริงๆจังๆ
และบุคคลผู้นั้นต้องเป็นบุคคล    ที่ผ่านและสั่งสมประสบการณ์ด้านวรรณกรรมมาอย่างโชกโชน   ซึ่งชื่อแรกที่   ‘ออล 
แม็กกาซีน’ นึกถึงคือ ‘ณรงค์ จันทร์เรือง’ ผู้อยู่บนถนนสายวรรณกรรมมาอย่างยาวนาน
          ชื่อ   ‘ณรงค์ จันทร์เรือง’   เราอาจจะไม่คุ้นหู  เท่านามปากกาที่เขาใช้ นั่นคือ   ‘ใบหนาด’   ผู้ปลุกปั้นเรื่องเล่า
เขย่าขวัญมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง   ด้วยผลงานการเขียน    ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง  ผสมกับการยืนอยู่บนวงการ
น้ำหมึกมาหลายต่อหลายปี   รวมทั้งมีโอกาสได้ใกล้ชิด   กับนักประพันธ์รุ่นใหญ่หลายท่าน      จึงเป็นเหตุให้      ‘ออล 
แม็กกาซีน’ ต้องนัดพบเพื่อสอบถามถึงเรื่องนักประพันธ์ไทย วงการวรรณกรรมที่ผ่านมา  รวมถึงตัวตนที่น้อยคนนัก
จะได้รู้จัก
 
all : อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ก้าวเข้ามาสู่ถนนสายน้ำหมึก
ณรงค์ : อย่างที่ทราบๆ  กันว่า  ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ที่บ้านผมมีหนังสืออยู่เยอะมาก นี่แหละคือแรงบันดาลใจ
ของผม
 
all : เมื่องานเขียนของตัวเองได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรก มีความรู้สึก
อย่างไร
ณรงค์ : ตื่นเต้นและดีใจเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว    ตอนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่   ผมเป็นคนกรุงเทพฯ  เกิดที่กรุงเทพฯ 
โตและอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมจึงเขียนหนังสือมาโดยตลอด
 
all : กว่าจะได้ออกมาเป็นผลงานเขียนแต่ละชิ้น มีความยาก
หรือง่ายอย่างไรบ้าง 
ณรงค์ : มันก็ไม่ยาก ไม่ง่ายนะ ถ้าคุณทำงานอะไรมาประมาณ40–50 ปีแบบผม ไม่ต้องถึงขนาดแค่40 – 50 ปีหรอก
เอาแค่ 10 – 20  ปีก็พอ มันก็ไม่มีงานอะไรยากแล้วใช่ไหม เพราะผมถือว่าเป็นความเคยชิน เปรียบเหมือนเป็นช่างไม้
นักบิน วิศวกร คนเดินสายไฟ ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อมโทรทัศน์ ทุกอย่างมันเจนมือมาหมดแล้วจะว่า
ยากไหม มันก็ยาก จะว่าง่าย มันก็ง่ายด้วยตัวของงานเอง
 
all : แล้วการเขียนงานแต่ละประเภท มีเทคนิคแตกต่างกันไหมครับ
เพราะงานแต่ละชิ้นย่อมมีรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน
ณรงค์ : ใช่ ใช่ มันมี มันมี จะใช้คำเท่ห์  ๆ ว่า‘กลุ่มคำ’ ก็ได้ ว่าเขียนเรื่องแนวนี้ ต้องใช้กลุ่มคำนี้นะ  หรือเรื่องแนวนี้
ต้องใช้กลุ่มคำประเภทนี้อย่างเขียนเรื่องชีวิตเรื่องเบาสมองหรือเรื่องสยองขวัญต่างๆจะมีกลุ่มคำเฉพาะของเรื่องนั้นๆ 
ทีนี้ก็มา  ‘ดูความ’  ว่าเป็นอย่างไร   ซึ่งผมเรียกสิ่งนี้ว่า   ความชำนาญในอาชีพหรือประสบการณ์ก็แล้วกัน   ไม่จำเป็น
จะต้องมาเลือกหาถ้อยคำ ถูกไหม  พอจะเขียนอะไรออกมาปุ๊บ  คำพวกนี้จะออกมาเองโดยอัตโนมัติเลย  มันเหมือน
กับภาษาหรือสำนวนที่เขาเรียกกันว่า ‘หยิบออกมาจากแฟ้ม’ นั่นแหละ
 
 
 
all : มาพูดถึงนามปากกา ‘ใบหนาด’ กันบ้าง ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนอ่าน
เรื่องสยองขวัญ มีวิธีการอย่างไรในการเล่าเรื่องให้ออกมาน่ากลัวจนขนหัวลุก
ณรงค์ : ก่อนอื่นต้องเริ่มก่อน  ว่าทำไมถึงโดนผีหลอกอันนี้เราข้ามคำถามที่ว่าผีมีจริงหรือไม่ไปแล้วนะสรุปว่าผีมีจริง 
พอจะเขียนเรื่องผี เรามาเริ่มถามกันก่อนเลยว่า  ทำไมถึงโดนผีหลอก   ต้องถามอย่างมีเหตุผล  เพราะเรื่องผีเป็นเรื่อง
ซึ่งไร้ด้วยเหตุผล แต่ต้องเขียนด้วยเหตุและผล   จึงจะทำให้คนเชื่อเรื่องนั้น  ๆ    ได้อย่างสนิทใจ  อีกทั้งต้องมีเหตุผล
ในทุกเหตุการณ์ว่าเพราะอะไร     จึงจะทำให้เรื่องดำเนินต่อไปได้    ต่อมา   แล้วผีจะหลอกอย่างไร     โดยหน้าที่ของ
คนเขียนเรื่องผี ต้องมีคนโดนผีหลอกจนได้ และจะต้องมีเหตุประหลาดต่าง  ๆ   กิดขึ้นแน่นอน  นี่คือวิธีการเล่าเรื่องผี
ที่ผมใช้ อีกอย่างเนื่องจากผมบังเอิญชอบดูหนังเรื่อง ‘ทไวไลท์โซน’ซึ่งมันเป็นเรื่องกึ่งผี  กึ่งประหลาด แต่จะเน้นไป
ในทางสยองขวัญ ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆแต่น่ากลัวเรื่องหนึ่ง    คือถ่ายหน้าผู้หญิงในโรงพยาบาล หน้าถูกพอกไปด้วย
ผ้าพันแผล          เมื่อถ่ายมุมสูงลงมาจะเห็นหน้าผู้หญิงสะบักสะบอมมาก       และเห็นขาหมอยืนล้อมช่วยเหลือกันอยู่
กล้องตัดภาพไปที่ข้างฝา    เป็นวิทยุประกาศว่า     สังคมเราจะกำจัดคนที่หน้าตาอัปลักษณ์แตกต่างจากเราไปให้หมด
ภาพตรงหน้าจึงสรุปได้ว่า    เป็นการผ่าตัดผู้หญิง    เพื่อให้เธอหน้าตาดีขึ้นและเข้ากับสังคมได้ คนดูก็ลุ้นว่าจะได้ผล
หรือไม่    พอถึงตอนจบผ้าพันแผลถูกลอกออกจนเหลือชิ้นสุดท้าย  เสียงร้องกรี๊ดดังขึ้น  กล้อง  ซูมไปหาหน้าผู้หญิง
สาวสวยหยาดเยิ้มคนนั้น แต่เสียงกรี๊ดคือเสียงของหมอกับพยาบาล   ซึ่งกล้องเงยขึ้นถึงจะเห็นหน้าหมอกับพยาบาล
ชัดเจนเป็นครั้งแรก ซึ่งหน้าทุกคนเป็นลิงหมดเลย ฉะนั้นถึงบอกว่า   เรื่องแบบนี้ไม่ได้หาหรือคิดกันได้ง่าย  ๆ  เลยนะ
สำหรับผม
 
all : เรื่องผีที่เขียนเคยมีหมดมุขบ้างไหมครับ แล้วมีวิธีการเติมจินตนาการ
ตัวเองอย่างไร
ณรงค์ : ต้องจินตนาการทุกเรื่องก็จริง เพียงแต่ว่าบางเรื่องต้องอ่านหนังสือประกอบด้วย    อย่างว่า  นักเขียนมีหน้าที่
หลักอย่างหนึ่งคือ ต้องอ่านหนังสือ เราได้ข้อมูลมา สมมติว่าได้ข้อมูลมาจากจังหวัดมุกดาหาร  เขามีประเพณีอย่างนี้
เกิดขึ้น เราก็นำข้อมูลตรงนั้นเข้ามาเป็นฉากยืนพื้นแล้วเอาพล็อตเรื่องเติมเข้าไป ซึ่งคนที่นั่นอ่านแล้วเขาก็จะยอมรับ
ข้อมูลของเราว่าถูกต้อง กับอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ต้องมี   ‘ฉากรองรับ’  สมมติว่าคุณไปเจอเรื่องผี   คุณจำเอาไว้
เลยว่า ประการสำคัญที่สุดก็คือ  ‘ฉาก’  เพราะถ้าไม่มีฉากแล้ว   เรื่องราวจะไม่น่าเชื่อถือเลย  เช่น  บอกถึงโค้งมรณะ 
ขับรถผ่านโค้งมรณะมีร่างขาว ๆ คือผู้หญิงผมยาววิ่งตัดหน้า อย่างนั้นน่ะ  ถามหน่อย   โค้งไหน   เราก็ใส่ข้อมูลเข้าไป 
ซึ่งพอใส่เข้าไปแล้วมาเรียบเรียงเขียนใหม่        เรื่องก็จะสมจริงมากขึ้น    เราต้องมีข้อมูลตรงนี้ใส่เข้าไป   แต่อย่างว่า 
ไม่สามารถทำได้ทุกเรื่องหรอก       เพราะถ้าต้องเขียนทุกวัน  วันละเรื่อง  จันทร์ถึงศุกร์  ข้อมูลตรงนี้ก็จะหมดไป  ทีนี้
อีกวิธีหนึ่งเท่าที่ผมได้มาคือ‘การท่องเที่ยว’ผมจะออกต่างจังหวัดทุกเดือนเลยก็ว่าได้บางเดือนสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็น
ภาคกลาง  ภาคเหนือ   ภาคอีสาน   ภาคใต้   แล้วก็อ่านหนังสือ    เพราะคนที่เขียนหนังสือถือเป็นเรื่องจำเป็นเหลือเกิน
ที่ต้องอ่านหนังสือ และนั่งจมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั่นแหละ อาชีพเราก็คงคล้าย ๆ กัน (หัวเราะ)
 
all : แล้วในสายตาของคุณ วรรณกรรมสมัยก่อนกับปัจจุบันนี้
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ณรงค์ : มีทั้งแง่เหมือนและแง่แตกต่าง   ในแง่เหมือนก็คือ   นักเขียนก็เขียนหนังสืออยู่เหมือนเดิม   ยังเขียนเรื่องสั้น
และเรื่องยาวอยู่เหมือนเดิม  แต่นับวันสนามเรื่องสั้นจะน้อยลงไปมาก   มาถึงเรื่องของความแตกต่าง   ความแตกต่าง
อย่างแรกเลยก็คือสมัยก่อนประชากรไทยมีประมาณไม่เกิน30ล้านคน แต่ว่าหนังสือพิมพ์ประมาณ5,000–8,000เล่ม
แต่หนังสือที่ขายดี ขายหมดก็ต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 ตอนนี้ประชากรไทยอย่างต่ำ 60 ล้านคน ซึ่งบางสื่อบอก 65 ล้านคน
ด้วยซ้ำ พิมพ์หนังสือ 3,000  เล่มนี่ยังขายไม่หมดเลย   ส่วนมากนะ   แล้วที่แตกต่างอย่างมโหฬารเลยก็คือ   แต่ก่อน
ใช้ลายมือ อย่างมากก็พิมพ์ดีด  ซึ่งเป็นสิ่งที่พัฒนาไปตามยุคสมัย   ต่อมาก็เป็นพิมพ์ดีดไฟฟ้า สำหรับผมนี่ก็ประเภท
ตั้งแต่ใช้ปากกาลูกลื่นยี่ห้อบิ๊ก   ยังจำได้เลยเวลาเขียน  (หัวเราะ)  ต่อมาก็เป็นพิมพ์ดีด  แล้วก็เป็นพิมพ์ดีดไฟฟ้ายี่ห้อ
บราเทอร์(หัวเราะ)จนกลายเป็นคอมพิวเตอร์ในที่สุดความแตกต่างสมัยก่อนอีกสิ่งหนึ่งคือว่า สำนักพิมพ์จะกำหนดวัน
ส่วนมากนะ บางแห่งก็ไม่กำหนด เช่น ยกตัวอย่าง ฟ้าเมืองไทย วันพุธคือวันที่ไปส่งต้นฉบับของนักเขียนเรื่องยาวนะ 
แล้วก็ไปรับค่าเรื่องของเล่มที่ออกไปแล้ว ฉะนั้นนักเขียนจะได้เจอกันในช่วงเวลานั้น เมื่อเจอกันก็จะออกมากินเหล้า 
และเสวนาพูดคุยกัน ทีนี้ตัดภาพให้มันเห็นเป็นแบบขาวดำไปเลย สมัยนี้นักเขียนไม่ต้องออกจากบ้าน ใช่ไหม เพราะ
ระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น   ซึ่งเมื่อประมาณ10  ปีก่อน   ไปพูดกับใครว่าส่งต้นฉบับทางแฟ็กซ์ ไม่มีใครเชื่อหรอก
 คนบอกว่าเล่าเรื่องตลก จะมีเหรอ ยกหูแล้วต้นฉบับเรา6-7 หน้าไปอยู่ที่โรงพิมพ์แล้ว ต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงถึงจะเชื่อ
แต่ปัจจุบันมันยิ่งกว่าแฟ็กซ์ตั้งเท่าไหร่ ใช่ไหม   คุณก็รู้ ฉะนั้นโอกาสที่จะพบกันก็น้อยลง   ยิ่งรุ่นผมยิ่งได้พบกันบ่อย
มากขึ้นก็คือ ‘งานศพ’  สำหรับคนคุ้นเคยที่จากกันไป ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับผมนี่   ไปเยอะแล้วนะ ไปกันเกือบหมดแล้ว 
ยิ่งรุ่นพี่ที่เคยเห็นเขาตอนหนุ่ม  ๆ  นะ  ประมาณ 30  กว่า  ผม  20  กว่า  ห่างกัน  10 ปี    ไม่มีเหลือเลย   ที่ดัง ๆ   อย่าง 
‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ประมูล อุณหธูป มนัส จรรยงค์ ตั้งแต่ปี 06 พูดถึงช่วงหลังๆ นี่ก็ไปกันเยอะ ผมเคยมานับอยู่ว่า
นักเขียนที่เรารู้จักแล้วล้มหายตายจากไปนับได้ประมาณเกือบ  40  คน  และก็จะมีรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งมันก็ถือว่า 
เป็นกฎนะ กฎของชีวิต กฎธรรมดา
 
 
 
all : นักเขียนในช่วงยุคนั้น มีอิทธิพลอย่างไรบ้างต่อวงการวรรณกรรม
ณรงค์ : มีอิทธิพลในแบบที่คุณอยากจะเขียนแบบนั้นตาม          ที่มีอิทธิพลมากในช่วงนั้นก็จะมีอย่าง         ศรีบูรพา 
ครูมาลัย ชูพินิจ ซึ่งมีนามปากกาเยอะ    ทั้งเรียมเอง    ทั้งแม่อนงค์    แล้วก็    ‘รงค์ วงษ์สวรรค์   ซึ่งต้องยอมรับว่า
รงค์ วงษ์สวรรค์นี่มีอิทธิพลต่อนักเขียนรุ่นน้องอย่างมากพอยุคต่อมาก็จะมีอิทธิพลต่อคนรุ่นต่อไป ท่าที่ทราบอย่าง
 ชาติ กอบจิตติ แล้วก็อย่างสุจิตต์ วงษ์เทศ หรือขรรค์ชัย บุนปาน ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับผมนะ  ก็จะมีอิทธิพลต่อทั้ง
นักเขียนทั้งกวี เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก็อีกคนหนึ่ง โดยพวกนี้ถือว่าเป็นรุ่นเดียวกันหมด
 
all : แล้วนักหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนวงการน้ำหมึกในช่วงนั้น มีบทบาท
อย่างไรบ้างต่อวงการวรรณกรรมในขณะนั้น
ณรงค์ : มันมองได้ในหลาย  ๆ   แง่นะ   แง่แรก นักหนังสือพิมพ์จะมีข้อมูลมากกว่านักเขียน เพราะเขาอยู่กับงานข่าว 
นี่พูดถึงในแง่ได้เปรียบ     แง่ที่ค่อนข้างจะเสียเปรียบก็คือว่า   เขาไม่มีเวลาเต็มที่ที่จะมาเขียนงานด้านบันเทิงเริงรมย์ 
เพราะเขาต้องทุ่มเวลาให้กับงานข่าวแม้ว่าตั้งแต่เป็นนักข่าวมาจนกระทั่งไต่เต้ามาถึงหัวหน้ากองบรรณาธิการ เขาก็จะ
ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้     แต่นักหนังสือพิมพ์ที่โดดเด่นในวงการนี้ก็มีหลายคน  อย่างศรีบูรพา   นี่ก็นักหนังสือพิมพ์
 ครูมาลัย ชูพินิจ  ก็ถือว่าเป็นนักหนังสือพิมพ์ อิศรา อมันตกุล นี่เป็นนายกสมาคมนักข่าวมาถึง3 ปีซ้อนเลย ถ้าจำ
ไม่ผิดเนี่ยคือประมาณปี   08  –  10   อยู่ในช่วงประมาณนี้   ไพฑูรย์ สุนทร     ซึ่งช่วงหลังมาเป็นบรรณาธิการไทยรัฐ 
ซึ่งพวกนี้ก็จะมีผลงานด้านหนังสือพิมพ์แล้วก็ในเรื่องของงานเขียนเรื่องสั้นด้วย   โดยส่วนมากจะถนัดทางเรื่องสั้นกัน
 
all : นักเขียนหน้าใหม่ในวงการวรรณกรรมเกิดขึ้นมากในยุคปัจจุบัน
มองนักเขียนรุ่นใหม่เหล่านี้อย่างไรบ้าง
ณรงค์ : มันก็เหมือนกับเรามองย้อนตัวเองเข้าไปในอดีต   ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย      ถ้าเราจะไม่มาพูดถึงข้อย่อย
ของวิธีการเขียน  วิธีการนำเสนอ  วิธีการเขียนนี่ก็ตั้งแต่เคาะด้วยคอมพิวเตอร์แล้ว  แทนที่จะมาใช้ปากกาลูกลื่นเขียน
เหมือนเมื่อสมัยก่อน    จนกระทั่งมาถึงในเรื่องของแง่คิด  ไม่ว่าจะเป็นการมองสังคมในมุมมองต่าง  ๆ  การมองผู้ใหญ่
ในบ้านเมืองของเรา การมองนักการเมือง หรือแม้กระทั่งการเสนอความคิดแปลก ๆ  ใหม่  ๆ  ซึ่งมันกว้างขวางมากขึ้น
กว่าในอดีตที่ผ่านมาว่าประเทศไทยควรจะไปทางไหนและควรจะเป็นแบบใด ด้วยการนำเสนอในรูปแบบของเรื่องสั้น
หรือนวนิยาย  เท่าที่ฝีมือของคนแต่ละคนจะทำได้  ว่าจะเสนอออกมาได้อย่างแนบเนียนจนผู้อ่านเชื่อว่า  นี่คือแนวคิด
ของตัวละครตัวนั้น หรือคนคนนั้นจริง ๆ  ซึ่งไม่ใช่ความคิดของผู้เขียนที่นำความคิดเหล่านั้นมายัดใส่ปากของตัวละคร
ให้พูดออกมา
 
all : ในฐานะที่อยู่ในวงการวรรณกรรมมาอย่างยาวนาน คิดว่านักเขียนหน้าใหม่
คนไหนที่มีอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมในขณะนี้
ณรงค์ : ผมยังไม่เห็นเด่นชัดนะ ยังไม่เห็นเด่นชัด     เพราะล้วนแล้วแต่ฝีมือสูสีกัน   เพียงแต่ว่าความโดดเด่นก็อาจจะ
แตกต่างกันออกไป
 
all : ในฐานะนักเขียน มองอนาคตของวงการวรรณกรรมไทยว่าจะเป็นอย่างไร
ต่อไป
ณรงค์ : ก็คงเป็นอย่างที่มันเป็นมานี่แหละ ก็คือจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ  แล้วผมก็หวังว่าคงจะเปลี่ยนแปลงไป
ในทางที่ดีขึ้น มีคนอ่านหนังสือมากขึ้น นักเขียนมีผลงานที่ดีขึ้นกว่าเดิมซึ่งผมว่าจะดีขึ้นเรื่อย  ๆ  ต่อไปตามยุคสมัย 
เพราะว่าถ้าสิ่งไหนนับวันมันจะแย่ลงก็คงอยู่ไม่ได้หรอก ต้องมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ถ้าจะพูดให้หรูๆ ก็คือ การเป็น
‘ผู้นำจิตวิญญาณ’ซึ่งเราก็ได้แต่หวังแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าเป็นไปได้คงจะสามารถน้อมนำจิตวิญญาณไป
ในทางที่ดี ที่งาม ที่เจริญรุ่งเรือง ให้กับสังคม ผู้คน และประเทศชาติได้ต่อไป
 
นัดพบนักเขียน : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย 
ภาพ : วิลาสินี เตียเจริญ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.all-magazine.com