คุยกับนิ้วกลม

“การอ่านคือรากฐานสำคัญ” คำเปิดหนังสือของหลายๆ เล่มที่พยายามจูงใจให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของการอ่าน เพราะนั่นหมายถึงการต่อยอดและพัฒนาความรู้ที่มีอยู่เดิมให้ขยายกว้างไกล เปิดโลกให้เห็นแง่มุม ความคิดเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่
และสร้างจินตนาการขึ้นเองตามความคิดดั่งใจ MBA มักเคยได้ยินหลายคนบ่นอุบว่าไปดูหนังมาแล้วไม่เหมือนกับที่อ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังแนวผจญภัยในดินแดนลึกลับ เหมือนกับที่เราวาดพร้อมใส่จินตนาการอันบรรเจิดไม่ซ้ำใครเอาไว้ในใจก่อนหน้านี้ อีกทั้งความงดงามของภาษาของผู้เขียน ซึ่งมีมนต์เสน่ห์อยู่ในตัวเอง นั่นทำให้หนังสือมีคุณค่าและแตกต่างจากสื่ออื่น
วงการหนังสือในรอบหลายปีมานี้ แม้ไม่ได้หวือหวาหรือมีลูกเล่นมากมาย แข่งขันกันรุนแรงเมื่อเทียบกับแวดวงธุรกิจอื่น ซึ่งต้องมีกลยุทธ์การตลาดมาจับให้แพรวพราวดึงดูดใจผู้บริโภค อีกทั้งต้องออกสินค้าใหม่คิดค้นตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลงหรือทิศทางแนวหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็มักจะเกาะกระแสไปกับภาวะสังคม ณ ขณะนั้น ซึ่งเห็นได้ว่าในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหนังสือแนว how to และ หนังสือธรรมะสอนใจ แนวปลอบประโลมจิตใจ เป็นตลาดหนังสือที่น่าจับตามองและกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้เห็นนักเขียนและนักแปลหลายรายโดดเข้าร่วมผลิตงานแนวนี้มากขึ้น หลายเล่มขึ้นแท่นอันดับหนังสือขายดีแซงหน้าหนังสือนวนิยายบางเล่มหรือแนวหนังสือวรรณกรรมเพื่อเยาวชนมีให้เห็นไม่น้อย
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า หนังสือทั้งสองประเภทมีบุคลิกและลักษณะที่คล้ายกันเพื่อก้าวไปสู่การบรรลุความมุ่งหมายหรือแนวทางยกระดับจิตใจของ “คน” แนว how to ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง ยกระดับความสามารถ การสร้างภาวะความเป็นผู้นำ การบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ล้วนแต่เป็นหลักคิดการบริหารคนเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริบททางการแข่งขันในสังคม
หนังสือประเภทหลังผลิตออกมาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของสังคม ใช้หลักธรรมะ how to อย่างไรเพื่อผ่อนคลายความทุกข์และไปสู่การพัฒนาตนเอง เป็นตัวสะท้อนภาวะวิกฤตของสังคมไทยที่เผชิญกับปัญหารอบด้าน การผลิตเนื้อหาด้านนี้จึงช่วยตอบโจทย์ ซึ่งเชื่อว่าตราบใดที่สังคมยังคงเผชิญกับปัญหาวุ่นวายไม่จบสิ้น การดำเนินธุรกิจเข้มข้นและรุนแรงขึ้นในระบบทุนนิยมที่เป็นกงล้อหมุนอยู่เช่นนี้ แนวโน้มการอ่านหนังสือทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไปอีกยาว
“ถ้าพูดถึงปีต่อปี คงไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากปีที่ผ่านมา แต่ถ้ามองแนวโน้มในอนาคตเมื่อเทียบกับอดีต คิดว่าถ้ามองจากสายตาตัวเอง ในร้านหนังสือ วงการหนังสือคึกคักมาก มีหนังสือที่หลากหลายมาก ขณะเดียวกันก็มีความเปลี่ยนแปลงในตัวมันเอง” สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ กล่าว
ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่คนหนึ่ง มองเห็นทิศทางและการเติบโตของแวดวงหนังสือที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งจากนักเขียนรุ่นใหม่สร้างบล็อกของตนเอง โพสต์งานเขียนโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสำนักพิมพ์เท่านั้น อีกทั้งความท้าทายจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ที่เข้าแทนที่สื่อสิ่งพิมพ์ ทำให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ร้อนๆ หนาวๆ อยู่พอสมควร เพราะเห็นตัวอย่างหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศต้องปิดฉากลงไป
ทว่าเมื่อเทียบกับต่างประเทศ การรุกคืบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในไทยยังไม่หวือหวามากนัก และเป็นไปในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งแทบจะไม่กระทบกับการเขียนและการอ่านของคนไทย เพราะในมุมมองของการเป็นนักเขียน ผู้สร้างเนื้อหาหรือผลิตคอนเทนต์ยังคงทำหน้าที่ผลิตงานเขียนดีๆ ออกสู่สังคมได้เช่นกัน
อนาคตแม้ว่าวงการหนังสือจะพลิกผันไปมากเพียงใดก็ตาม ในแง่ของคนอ่าน เชื่อแน่ว่าจะได้พบกับความน่าตื่นเต้นจากการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีลูกเล่นมากมายทำให้ผู้อ่านสนุกและเพลิดเพลินได้มากกว่าการอ่านจากกระดาษ เพราะเครื่องอ่านอิเล็กทรอนิกส์ที่มีวิทยาการล้ำหน้ายังสามารถพัฒนาได้อีกไกล เช่น อนาคตอันใกล้อาจได้เห็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ใส่เสียงหรือภาพระหว่างบรรทัดขณะอ่าน ช่วยให้ผู้อ่านจินตนาการไปพร้อมกัน เทคโนโลยีล้ำหน้าสมัยใหม่น่าจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้คนไทยกลับมาอ่านหนังสือกันมากขึ้น
“โดยส่วนตัวมีวันหนึ่งที่เราไม่อ่านหนังสือเล่ม ผมเชื่อว่าอย่างนั้น เพียงแค่ว่าเมื่อไหร่ 50 ปี 100 ปี ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าหนังสือจะอยู่ไปตลอดกาล หนังสืออาจจะตายก็ได้ แต่การอ่านจะไม่ตาย การอ่านการเขียนอยู่เหมือนเดิม วันหนึ่งอาจไม่เรียกว่าการอ่าน การเขียนก็ได้ เพราะสื่ออิเล็กทรอนิกส์มันยังสร้างสรรค์ได้อีกเยอะ” สราวุธ กล่าว
ไม่ว่าวงการนักเขียนและหนังสือจะพัฒนาไปสู่จุดใด ความสำคัญคงไม่ใช่แค่อยู่ที่เครื่องไม้เครื่องมือในการเข้าถึงการอ่านการเขียนเพียงเท่านั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ผู้อ่านได้เปิดความคิดตัวเองไม่ติดกรอบ เห็นความคิดที่หลากหลาย ยิ่งอ่านมากยิ่งได้มาก ส่วนผู้เขียนได้ไตร่ตรองความคิด งานเขียนเป็นภาพสะท้อนหนึ่ง ทำให้ผู้เขียนเข้าใจชีวิตบางมุมมากขึ้น และสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของการเขียนก็คือ ทำให้เข้าใจตัวตนที่แท้จริงนั่นเอง
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : นิตยสาร MBA

