Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

คึกฤทธิ์คิดลึก ทศกัณฐ์วรรณกรรม บทสัมภาษณ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (1)

 
คึกลิดเป็นคนคิดลึก
 
กลางคืนดื่นดึกนั่งนึกนั่งคิด
 
คิดช่วยคนยากคนจน
 
ให้สภาตำบลสร้างถนนเชื่อมติด
 
พวกเราก็ไปรับจ้าง (ซ้ำ)
 
ขุดคลองสร้างทางเอาสตางค์คึกลิด
 
ท่วงทำนองเพลงสนุก เสียงร้องดังฟังชัดของเพลิน พรหมแดน เจื้อยแจ้วจากยุควิทยุทรานซิสเตอร์ในยุคเงินผันของรัฐบาลที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช  เป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายสร้างงานและกระจายรายได้ไปสู่ชนบทด้วยงบประมาณ 2,500 ล้านบาทเป็นเพียงน้ำพริกที่ละลายแม่น้ำหรือได้ผลเพียงไรไม่ใช่ประเด็นที่เราจะพูดถึง
 
คำผวน “คึกฤทธิ์” เป็น “คิดลึก” นั้น สงเคราะห์ สมัตถพาพงศ์ ผู้แต่งเพลงคึกลิดคิดลึก ไม่ได้คิดขึ้นใช้เป็นคนแรก
 
ในงานฤดูหนาวปีหนึ่งนานมาแล้ว เด็กชายคนหนึ่งวัยประมาณ 7-8 ขวบไปเที่ยวกับพี่สาว เมื่อเดินผ่านร้านทายปัญหาเขาฉุดมือพี่สาวพร้อมกับบอกว่า “คุณพี่หยุดคอยข้างนอกก่อนนะ อย่าไปไหน ผมจะเข้าไปทายปัญหาสักครู่จะออกมา” ว่าแล้วก็เดินหายเข้าไปในร้านซึ่งมีเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สนใจอยู่หลายคน
 
คำว่าเทอดทูน ต่อสู้ มีชื่ออยู่ในพุทธประวัติ มีความหมายอยู่ในคนคนเดียว คือใคร นั่นคือข้อความปริศนาที่ทุกคนในที่นั้นต้องเขียนคำตอบแล้วเซ็นชื่อกำกับ พอเปิดออกดูในกระดาษแผ่นหนึ่งมีคำตอบว่า ชูชก และลงชื่อคนทายว่า คิดลึก สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีพระพันปีหลวงรับสั่งให้หาตัว เมื่อพาเด็กชายเข้าเฝ้าก็ไม่ทรงเชื่อ ให้เขียนและเซ็นชื่อใหม่อีกครั้งเพื่อพิสูจน์ลายมือ ครั้นเห็นว่าทรงใช่แน่เพื่อพิสูจน์ลายมือ ครั้นทรงเห็นว่าใช่แน่ก็รับสั่งว่า “ดูซิใครๆ ก็สู้เด็กไม่ได้”
 
ชื่อจริงของเด็กชายคนนั้น -คึกฤทธิ์- เป็นชื่อที่สมเด็จพระพันปีหลวงพระราชทานตั้งแต่แรกเกิดแล้วนั่นเอง
 
จำเนียรกาลผ่านเวลามาปัจจุบัน นอกจากจำเป็นต้องเป็นหม่อมราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ตามประเพณีการสืบฐานันดรแล้ว คึกฤทธิ์มีบทบาทสำคัญเป็นที่ประจักษ์ในอีกหลายฐานะ เป็นนักการธนาคาร นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ อาจารย์มหาวิทยาลัย ศิลปินใหญ่ นักพูดปากตะไกร นักประพันธ์ผู้สร้างวรรณกรรมอมตะ นักพหูสูต รวมทั้งเป็นนายทุนตามที่เคยประกาศไว้เองด้วย
 
โดยหน้าที่แล้ว ถนนหนังสือขอเน้นบทบาทของเขาเฉพาะในฐานะยักษ์ใหญ่แห่งวงการประพันธ์
 
หากนำเอาผลงานการประพันธ์ของคึกฤทธิ์ที่ตีพิมพ์เป็นเล่มแล้วทั้งหมดมาวางซ้อนกันคงสูงท่วมหัว ลำพังข้อเขียน ตอบปัญหาประจำวัน เรื่องเดียวก็ปาเข้าไปตั้ง 20 กว่าเล่มแล้ว ไหนจะมีนวนิยาย เรื่องสั้น, สารคดี, บทละคร, บทโขน ไหนจะหนังสือที่มีเนื้อหาความรู้นานาประเภท ทั้งที่เกี่ยวกับศาสนา, วัฒนธรรม, ศิลปกรรม, ประวัติศาสตร์, การเมือง, เศรษฐกิจ  ในสุนทรกถาภาษาอังกฤษที่คึกฤทธิ์แสดงไว้ในพิธีพระราชทานรางวัลซีไรต์ พ.ศ. 2526 เจ้าตัวเองกล่าวว่า “ที่หอสมุดแห่งชาติมีงานของผม 150 เล่ม และผมไม่รู้ว่ามีอีกเท่าไหร่ข้างนอก”
 
คนคนเดียว สามารถสร้างผลงานไว้มากมาย และหลากหลายเช่นนี้ ดูประหนึ่งจะมีออกมาจากหัว 10 หัว และเขียนด้วยมือ 20 มือมากกว่า
 
สิ่งที่คึกฤทธิ์โปรดปรานมากอย่างหนึ่งคือเล่นโขน สามารถเล่นได้หลายบทบาท บางครั้งเป็นพระราม บางครั้งเป็นนางสีดา บางครั้งเป็นหนุมาน แต่ที่ชอบและแสดงได้ดีที่สุด คือเป็นทศกัณฐ์
 
ในชีวิตจริง บทบาทในฐานะต่างๆ ของคึกฤทธิ์ดังที่กล่าวมาแล้ว เปรียบไปก็เหมือนการสวมหัวโขนรับบทต่างๆ บนเวที ถนส. มอบหัวโขนทศกัณฐ์ให้เขาสวมในฐานะนักประพันธ์ผู้มีความสามารถรอบตัวประดุจมี 10 หัว 20 มือฉะนั้น
 
สมัญญาทศกัณฐ์วรรณกรรมที่ต่อท้ายชื่อผวนในตัวคึกฤทธิ์คิดลึก จึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
 
ในที่สุดชาวคณะถนนหนังสือก็ได้เข้าพบพูดคุยกับอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม หลังจากที่รอโอกาสนี้มาเดือนกว่า ช่วงเวลานั้น อาจารย์หม่อมต้องยุ่งอยู่กับภาระกิจของท่าน ไหนจะต้องเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบ 10 ปี สัมพันธภาพไทย-จีน ในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนแรกที่เปิดประตูสู่ประเทศต้องห้ามนี้ กลับมาแล้วท่านก็ต้องจดจ่อกับการแก้รัฐธรรมนูญประเด็น วิธีการเลือกตั้งจากรวมเขตรวมเบอร์มาเป็นแบ่งเขตเรียงเบอร์ จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม ญัตติที่ท่านเป็นผู้เสนอนี้ก็ผ่านสภาไปโดยเรียบร้อย
 
โอกาสเหมาะของถนนหนังสือ ก็มาถึง
 
คุณจันทร์แจ่ม บุนนาค ซึ่งมีความใกล้ชิด และเป็นผู้ที่ใช้ความอุตสาหวิริยะถึง 5 ปี ในการถ่ายทอด สี่แผ่นดิน เป็นภาษาอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์ กรุณาเป็นธุระและติดต่อนัดหมายอาจารย์หม่อมในครั้งนี้ จึงขอขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย
 
แน่นอน ผู้ที่เราจะต้องขอบพระคุณอีกท่านหนึ่งก็คือตัวอาจารย์หม่อมเอง ที่ได้กรุณาเสียสละเวลาอันมีค่าของท่านให้พวกเราได้เข้าพบด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง
 
ท่านให้สัมภาษณ์อย่างเป็นกันเอง สนุกสนาน เต็มไปด้วยสาระ อาจจะเป็นเพราะท่านได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการสนทนาเรื่องการเมืองมาเป็นเรื่องวรรณกรรมก็ได้ ซึ่งนานๆ จะมีสักครั้งหนึ่ง
 
เสียดายที่เราไม่มีทางถ่ายทอดสำเนียงการพูดของอาจารย์หม่อมได้ การพูดด้วยประโยคสั้นๆ ไม่ซับซ้อน ฟังง่าย กระชับ การลงเสียงให้ประโยชน์สัมพันธ์ต่อเนื่องกันไม่ทำให้ฟังดูห้วน ตอนใดที่เราวงเล็บเสียงฮา หากท่านผู้อ่านไม่ฮาด้วยก็ถือว่าเป็นความบกพร่องในการสื่อสารด้วยตัวอักษร
 
เรานำบทสัมภาษณ์มาลงเกือบทั้งหมดเท่าที่เนื้อที่หน้ากระดาษอำนวยให้ เฉพาะที่เกี่ยวกับงานวรรณกรรมเรานำมาลงไว้ครบถ้วนโดยปล่อยให้ลำดับคำถาม-คำให้สัมภาษณ์เป็นอย่างเดิมเพื่อคงบรรยากาศที่แท้จริง
 
ข้อเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติและบทวิเคราะห์งานวรรณกรรมของท่านที่เราเตรียมทำไว้ล่วงหน้า จำเป็นต้องถอดทิ้งทั้งหมด เพื่อให้ลงบทสัมภาษณ์ครั้งสำคัญนี้ได้อย่างเต็มที่
 
ขอเรียนถามเกี่ยวกับวรรณกรรม
 
ผมเขียนหนังสือนะไม่ใช่วรรณกรรม คำว่าวรรณกรรมนี่แสลง ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรมันแปลว่าวรรณกรรมทำให้หรูหราไม่เข้าเรื่อง ตั้งใจยกย่อง ในใจผมอะไรก็เป็นวรรณกรรม ถ้าว่ากันตามจริง เราเรียกกันว่าเขียนหนังสือกันดีกว่า ก็แล้วแต่จะเรียกกันไป
 
ตอนนี้อาจารย์ไม่ได้เขียนนวนิยายเรื่องสั้นอีกเลย
 
แหมมันพูดยาก ผมอยากจะเขียน ผมก็เขียน  ช่วยไม่ได้
 
แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์ไม่มีเวลา
 
มันไม่เกี่ยวกับเวลาหรอก  อะไรมันไม่ออกมามันก็ยังเฉยอยู่ ถึงเวลาก็หลุดออกมา ก็เขียนไปไม่นานไม่ใช่หรือ  เรื่อง “โกษาปาน”  (เรื่องสั้นที่ตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ 2526)
 
นานแล้วครับ ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นมีแรงดลใจอะไรให้เขียน
 
หมั่นไส้มานานแล้ว นึกว่าฝรั่งเศสมันช่วยแน่ แต่ตอนท้ายคิดว่าแสลงใจคนไทยก็เลยตวัดกลับมาให้เป็นไทย คนไทยก็ฮือฮา คนไทยนั้นหลอกง่าย เขียนหนังสือหลอกง่าย อยากมีชื่อมีเสียงง่ายที่สุดคนไทยนี่ ขอให้ไทยดี ไทยเก่ง รักชาติไทยพอแล้ว อะไรเป็นชาติไทยหมด ชกมวยก็เป็นชาติไทย
 
เงินดอลล่าร์ตกนี่เดือดร้อน ใช่เดือดร้อนว่าของจะแพง  ไม่ใช่ เงินบาทของไทยจะตก ไม่ใช่ แต่กลัวเสียเกียรติแห่งชาติ อยู่กันมาอย่างนี้แหละครับ กี่ร้อยปีแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องทนอยู่กันต่อไปจนกว่าจะตาย จากกันอีกข้างหนึ่ง
 
อาจารย์ครับผมอ่านเจอว่าความบันดาลใจที่ทำให้เขียนเรื่องสี่แผ่นดินนี่มาจากเสภาขุนช้างขุนแผน อยากให้อาจารย์ขยายความว่ามีแรงบันดาลใจในแง่ไหน
 
ผมขยายความว่าไม่จริงเลย เขาเขียนไปเอง ผมไม่ได้พูดนี่  จบไปแล้วตั้งนาน  ผมพูดว่าเออบางทีผมจะต่อเรื่องขุนช้างขุนแผนนะเพราะเรื่องนั้นบรรยายรายละเอียดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาจนถึงรัชกาลที่ 5 ที่ท่านไปเปลี่ยนมาเป็นสมัยใหม่ ตอนนั้นคิดว่ายังไม่มีใครเขียน เขียนกันเสร็จแล้ว เพิ่งจะได้มาเห็นข้อคิดอันนี้ ไม่ใช่แรงดลบันดาลใจ
 
ในเรื่องสี่แผ่นดินให้รายละเอียดในราชสำนักครอบคลุมเวลาตั้ง 50 ปี ผมไม่ทราบว่าข้อมูลตั้ง 50 ปี นี่อาจารย์หามาจากไหน
 
คือว่ามีพี่น้อง พ่อแม่ พี่สาว ญาติ ที่ท่านรู้เรื่องก็ฟังกันมาตลอดชีวิต  แล้วก็ ๆ มันเป็นชีวิตที่ผมก็เคยผ่านมาเองด้วย เพราะตอนผมเกิดแล้วโตจำความได้แล้ว ไอ้ 50 ปีนั้นมันยังไม่หมดช่วงในวังหลวงนั้นตามแม่ตามพี่เข้าไป ตอนเด็กๆ ก่อนอายุ 11 ก็เคยไปค้างได้เห็นอะไรๆ มากพอสมควร มันก็อยู่ในใจนี่แหละ แต่รายละเอียดบางเรื่อง เช่นพระราชพิธีโสกันต์อะไรนี่  ก็ต้องอาศัยผู้หลักผู้ใหญ่ที่ท่านจดจำไว้ได้อย่างท่านหญิงจง (มจ.จงจิตรถนอม ดิศกุล พระธิดาองค์แรกของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ) แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องสี่แผ่นดิน ทั้งเรื่องไปกินข้าวกับท่านหญิงจงครั้งเดียว แล้วมาเขียนได้นี่ไม่จริง โกหก ใครจะเขียนได้  แต่คนบางคนเขียนได้ เขาเก่ง ผมทำไม่ได้ แต่หลายท่านเหลือเกินครับ แล้วท่านเหล่านี้ก็ไม่อยากได้ชื่อครับ ไม่ทราบเลยว่าผมจะเขียนสี่แผ่นดิน ท่านก็เล่าให้เด็กฟังบ้างอะไรบ้าง เราก็จดจำไว้ตั้งแต่เล็กมาจนโต
 
แล้วก็เคยเห็นเจ้านายตำหนักไหนอยู่กันอย่างไร ยังทันมาก ผมเป็นเด็กวิ่งได้แล้ว จำความได้แล้ว เจ้านายฝ่ายในตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ที่ 5 ก็ยังมีอยู่หลายพระองค์ วังหลวงยังไม่เงียบ ยังครึกครื้นอยู่ ระบบเดิมต่างๆ ที่ต้องจุดไต้จุดตะเกียง จุดไฟยังมีอยู่ทั้งนั้น เรื่องข้ามธรณีประตูเหยียบไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังเหยียบไม่ได้ คุณลองไปเหยียบดูสิ โขลนมันจับปรับแหลกเลย
 
บางอย่างก็ยังอยู่ เรื่องของ 50 ปีนั่นมันเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์เท่านั้น  ว่าเจ้านายองค์ไหนสิ้นพระชนม์หรืออะไร ผมไม่ได้เอาเรื่องเวลามาเท่าไหร่ เป็นการเล่าบรรยากาศของสมัยราชกาลที่ 5 แล้วก็เล่าเหตุการณ์บ้านเมืองของคนที่เป็นชาววังมาจนถึงรัชกาลที่ 8 สวรรคต จึงเป็นเรื่องสี่แผ่นดิน
 
 
 
ที่ใช้แม่พลอยเดินเรื่องนี่ต้องการให้เห็นเรื่องสิทธิของผู้หญิงว่าค่อยมีมากขึ้นหรือเปล่า
 
ไม่จริงเลย แม่พลอยเป็นคนที่ไม่มีสิทธิของผู้หญิงเลย ไม่เคยเรียก ไม่เคยร้อง แล้วแม่พลอยนี่เป็นคนเชยที่สุด คุณจะว่านางเอกก็นางเอก แต่เป็นคนเชยที่สุด แม่พลอยถ้าแกอยู่มาจนถึงทุกวันนี้แกก็ลูกเสือชาวบ้าน แกจะไปรำละครบ้าๆ บอๆ ถึงขนาดนนั้น (ฮา)
 
แม่พลอยเป็นคนเชยมากนะครับ เป็นคนอยู่กรอบ ใจดี ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานก็หลงรักคุณเปรมได้ ตามคติโบราณนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่ไปก่อนแล้วรักกันเองทีหลัง แม่พลอยเป็นอย่างนั้นทุกอย่าง ทีนี้คนอ่านคนไทยปลื้มอกปลื้มใจเห็นแม่พลอยเป็นคนประเสริฐเลิศลอยก็เพราะคนไทยก็เป็นคนแบบนั้น ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย คนอ่านส่วนมากก็เป็นคนระดับแม่พลอยเท่านั้น (หัวเราะ) โง่ฉิบหายเลยจะบอกให้สี่แผ่นดินถึงได้ดัง (หัวเราะ)
 
หลายเรื่องในนั้นเห็นกับตา  อย่างในหลวงเสด็จออกเวที พอในหลวงปรากฏ ก็ดูไม่ได้ มีกระเป๋าถือใบหนึ่งที่วางไว้ใกล้เก้าอี้ หยิบมาวางบนตักในหลวงออกดูไม่ได้ค้นกระเป๋าเลย แม่ฉันเองหม่อมแดง ถ้าเจ้าพระยารามเล่นแกก็เฮฮาดี พอในหลวงเสด็จออกหม่อมแดงหมอบ หมอบแบบโบราณด้วยคือหมอบเมิน หมอบลงไปบนเก้าอี้ จนในหลวงเสด็จเข้าไปแล้วดูใหม่ นี่มันยังไม่ขาด ส่วนคุณหญิงพันแกเป็นเศรษฐีใหญ่หน้าวัดบวรฯ ตึกมหามกุฎราชวิทยาลัยนี่บ้านคุณหญิงพัน อายุ 70-80 ปีแล้ว แกยังใส่เครื่องเพชรพราว เขาก็ไปเกณฑ์แกไปดูละครเพื่อจะเอาสตางค์แก ซื้อตั๋วเข้าไปดูเพื่อบำรุงเสือป่า แกก็ช็อคพอในหลวงเสด็จออกฉากแรกก็เป็นลม (ฮา)  แกก็นั่งอยู่ระหว่างทูต มีสุภาพสตรีหรูหรา แต่คุณหญิงพันไปนอนอยู่กับพื้น แล้วเป็นลมอย่างไทยๆ ด้วย แกเอ้อ เฮอ ล้มไป ตื่นเต้นกันใหญ่ นี่เห็นกับตาเลย  ไม่ใช่ความรู้สึกของคนไทยเปลี่ยนไป พระเจ้าแผ่นดินท่านเปลี่ยน ในสมัยรัชกาลที่ 5 คนนั่นยังเหมือนในสมัยอยุธยาทุกประการ จะทูลก็ยังรุ่มร่าม ผู้หญิงกราบบังคมทูลเข้าไม่พระพุทธเจ้าข้าขอรับหรอก เขาใช้ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทุกคำเทียว แล้วก็พูดเร็วแต่เต็มยศ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มีเพคะ อะไรอย่างนี้ เสียงเพคะก็ผิดแล้ว
 
ทำไมใช้แม่พลอยเป็นตัวเอกและเป็นตัวเดินเรื่อง ทั้งๆ ที่นักเขียนผู้ชายเขียนแทนความรู้สึกผู้หญิงได้อยาก
 
จะเขียนเรื่องในวังซึ่งผู้ชายเข้าไปไม่ได้  จะเขียนเรื่องพระราชฐานชั้นใน จะเขียนเรื่องคุณจอมอะไรต่ออะไรในสมัยรัชกาลที่ 5 ชีวิตส่วนพระองค์ท่านอยู่ในนั้น ท่านทำอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ผู้ชายไม่อยู่ในฐานะที่จะเห็น แม้เป็นมหาดเล็กก็เห็นเพียงบางส่วน ไม่ได้ซาบซึ้งชีวิตในวังอย่างเท่าที่เห็น
 
ชีวิตของผู้หญิงในวังนี่เป็นอีกชีวิตหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ก็เอามาเขียนเสียที จะได้รู้กันว่าเป็นอย่างไร มันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยซึ่งเราควรจะบันไว้  นี่ก็ได้บันทึกไว้ครบถ้วนทุกกระบวนความแล้ว แต่มันอาจขาดตกบกพร่องบ้าง ทมยันตีจึงมาเขียน ร่มฉัตร (ฮา) ท่านเขียนเฉพาะที่ผมเก็บไม่เหมด เมื่อเป็นดังนี้ต้องอาศัยตัวสำคัญในเรื่อง คือแม่พลอยเป็นตัวดำเนินเรื่อง จะเรียกว่านางเอกหรืออะไรก็ไม่เชิง เป็นคนที่อยู่ในกรอบทุกอย่าง รักพ่อ รักแม่ รักเจ้า รักนาย
 
คนที่เป็นชาววังจริงมีปฏิภาณ มีวิท มีฮิวเมอร์ ปราดเปรียว คือแม่ช้อย นั่นแหละชาววังจริง เพราะฉะนั้นช้อยจึงไม่ตาย ในหลวงสวรรคตเขามาบอกข่าวให้แม่พลอยรู้เรื่อง บอกเสร็จแล้วเขาบอกว่าเขามีงานทำ งานพระบรมศพเป็นงานใหญ่ของชาววัง ต้องรีบกลับเข้าไปทำงานดอกไม้ นั่นคือแม่ช้อย
 
อาจารย์ต้องการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างแม่ช้อยกับแม่พลอย
 
ครับ แม่ช้อยเป็นชาววังแท้ ชาววังโบราณนั้นเขามีเซ้นต์ออฟฮิวเมอร์ มีวิท มีปฏิภาณ โต้ตอบฉาดฉาน พูดจาเก่ง พูดให้คนหัวร่อได้ทั้งวัน ทำให้เกิดความรื่นรมย์ได้มากทีเดียว แล้วเป็นคนมีฝีมือในทุกอย่าง  ทำงานผู้หญิงเก่งไม่ว่าจะเป็นอะไร  ทำงานด้วยมือเก่งหมด ไม่ว่าดอกไม้ ทำกับข้าว อย่างที่แม่ช้อยมาพรรณาตอนหลัง  แกไปขายห่อหมกก็ขาดทุน มันสู้เขาไม่ได้ คนอื่นเขาไม่ได้ทำดี เขาจะเอาแต่สตางค์ เขาทำหลอกๆ ขายใส่ก้างปลาไปมั่ง อย่างนั้นแม่ช้อยทำไม่เป็น แกก็เลยต้องเลิกค้าเลิกขาย คือลักษณะชาววังเขาอย่างนั้น เป็นคนมีฝีมือ เป็นคนมีปฏิภาณว่องไว เป็นคนพูดจาแหลมคม แล้วก็มีอารมณ์ขัน นี่อยู่ในตัวแม่ช้อยหมด 
 
แม่พลอยแกเป็นคนสุจริตเฉยๆ ซื่อๆ ซ่าๆ  ของแกไป แต่ก็อาศัยปฏิภาณของแม่ช้อยได้หัวเราะเป็นครั้งคราวเป็นคนดูของแม่ช้อยเท่านั้นเอง แม่พลอยอยู่ในฐานะคนดู ดูชีวิตในวังตลอด นั่นคือแม่พลอย
 
ทีนี้ผมอยากจะเขียนออกมาจากในวัง ได้เห็นชีวิตข้างนอก ชีวิตของข้าราชการชนชั้นแม่พลอยนี่เมื่อมากระทบกับการปฏิวัติปี 2475 กับสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเป็นอย่างไร ก็ให้แม่พลอยแต่งงานออกจากวังมา แม่ช้อยเขาเป็นชาววังแท้เขาไม่ออกก็หมดเรื่องแค่นั้น แม่พลอยออกมาแต่งงานแล้วอยู่สาธรนื่ ลูกเต้าโตขึ้นมาก็ก่อกบฎมั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงว่ากันไป มีความขัดแย้งเกิดขึ้นมันก็เป็นความจริง พี่น้องรบกันก็มี
 
 ไม่ทราบว่าตอนนั้นคนจีนมีอิทธิพลแค่ไหน ที่สังเกตุดูคุณเปรมก็มีเชื้อสายจีน
 
ก็มีอย่างทุกวันนี้แหละ แต่สมัยนั้นมีบรรดาศักดิ์ก็เป็นพระยาโชฎึกเป็นอะไร ทุกวันนี้ก็มี อย่างคุณชิน คุณอุเทน ถ้าเป็นสมัยก่อนก็เป็นพระยาไปแล้ว เขาก็ได้สายสะพายเท่ากับเจ้าพระยา
 
เป็นความนิยมที่ต้องแต่งงานกับคนจีน
 
มันไม่จริงหรอกครับ แต่บังเอิญคุณเปรมลูกหลานของพระยาโชฎึกมารักแม่พลอย แล้วเขาทำถูกที่ถูกทาง เขาไม่ได้เข้ามาลวนลาม ไม่เข้ามายุ่งแสดงความรักแบบคนสมัยใหม่ เขาติดต่อผู้ใหญ่ไปทูลเสด็จขอประทานแม่พลอยไปบอกพ่อบอกแม่ เขาเข้าไปทูลเจ้านายของแม่พลอยก่อน คุณสายซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในตำหนักไปพูดกับพ่อแม่พลอย เมื่อเจ้านายรับสั่งพ่อก็ไม่ขัด ไปตามระบบเก่า แต่คุณเปรมนั้นเขาเป็นไทยแล้ว แม้ลูกหลานจีนเขาก็เป็นไทยหมดแล้ว บ้านช่องเขาก็เป็นไทย ไม่ได้อยู่กันอย่างจีน มันไม่ใช่ความนิยมอะไรนักหนา เป็นอย่างนี้มานานแล้วคนจีนกับคนไทย ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้
 
อาจารย์ครับ ผู้แปลหลายชีวิต เป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นคนไทยใช่ไหมครับ
 
ไม่ใช่ เป็นคนญี่ปุ่น
 
เห็นมีนามสกุลคล้ายไทย
 
มีผัวไทย
 
เขาบอกว่าวรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ของผู้เขียน ผมอยากทราบว่าประสบการณ์เกี่ยวกับชาวไร่ชาวนานี่อาจารย์มีอยู่ในช่วงไหนของชีวิต
 
ก็มีมาตั้งแต่เด็ก รู้จักพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก คุณอย่าลืมนะว่าผมนี่เป็นคนโบราณมาก ปู่ผม พ่อผม นี่มีเลกสมสังกัด ซึ่งอยู่ในสมัยอยุธยาที่อำเภอผักไห่ บ้านผมนี้ก็เกณฑ์เลกมาปลูก คนกรุงเทพฯ ช่างกรุงเทพฯ ปลูกไม่ได้ แต่ก่อนทหารฝีพายปู่ผม พ่อผมคุมมาทั้งนั้น ก็รบทัพจับเชลยมาด้วยกัน เมื่อรัชกาลที่ 5 ท่านเลิกทาสทั้งหมด คนที่สังกัดทางราชการก็เลิกตามกฎหมาย แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้ไปไหน ก็ยังถือว่าตระกูลผมนี่เป็นเจ้าเป็นนายของเขา บ้านผมตอนเด็กๆ  คนพวกนี้ก็ไปก็มา บางทีเขาก็มาอยู่ด้วย มารับใช้รับสอย มาเป็นมหาดเล็กพ่อผมเลย พ่อผมเป็นเจ้า บางคนก็ไปมาหาสู่กัน ถึงเวลาท่านจะไปทอดกฐินบ้านนอกท่านก็ไป คนก็ต้อนรับดีมาก
 
ผมเองทุกวันนี้ไปกับเขาก็ยังต้อนรับรู้จักกันมา เลือกผู้แทนก็ต้องมาขอเสียงจากผม ตำบลนั้นเสียงอยู่ที่ผม ผมให้ใครคนนั้นก็ได้ นี่แหละชีวิตชาวนาผมรู้จักกับพวกนี้ นอกจากรู้จักฟังเขาพูดเขาคุยแล้ว ตอนเด็กๆ ก็เล่นกับเขา ทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็เลยรู้ใจรู้นิสัยใจคอ แล้วบ้านช่องเขาที่ผักไห่อยุธยานี่ผมก็ไป พ่อผมก็ไปบ่อย ไปเที่ยว ท่านเอาเรือไปผมก็ไปกับท่านได้เห็นชีวิต ความเป็นอยู่อะไรๆ มากที่สุด
 
ตอนที่ท่านเป็นเด็กมีช่วงไหนที่เป็นทุกข์หรือเป็นสุขที่สุด
 
บอกไม่ถูก ไม่เห็นมี ไม่มี ทุกอย่างในชีวิตของผมมันราบรื่นตลอดมา ผมไม่เคยมีทุกข์ แต่ในขณะเดียวกันความฟุ่มเฟือยหรูหราไม่เคยมี พ่อแม่ผมท่านไม่เคยเลี้ยงให้เป็นลูกเจ้าลูกนายเลย ไปโรงเรียนสวนกุหลาบตั้งแต่เด็กจนโตก็ไม่เคย เมื่อไปเรียนวังหลัง-อนุบาลมีเรือกรรเชียงไปส่ง เพราะโรงเรียนอยู่ฟากโน้นบ้านอยู่ฟากนี้ และเด็กแค่นั้นก็ยังไปไหนคนเดียวไม่ได้ แต่พอเข้าสวนกุหลาบก็ไปเอง รถยนต์ก็ไม่มีอะไรก็ไม่มี ขึ้นรถรางสายรอบเมืองลงหน้าโรงเรียนเลย แม่ตีตั๋วเดือนให้ไปก็ไปกันอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากชาวบ้าน อยู่กันมาอย่างนั้นก็ไม่เคยทุกข์ตอนไปเป็นทหารก็ถูกเกณฑ์อย่างชาวบ้านธรรมดา เสนารักษ์ก็ไม่ได้เป็น เป็นพลรบนี่แหละ นอนกองร้อยกันมานานจนเป็นนายสิบ ถูกเกณฑ์ไปราชการทัพ 2 ครั้ง อินโดจีนหนหนึ่ง มหาเอเชียบูรพาหนหนึ่ง ส่งแนวหน้าหมด ก็ไม่เคยรู้สึกทุกข์
 
อาจารย์ออกแนวหน้าไปรบกับเขาไหมครับ
 
ก็เป็นเรื่องของการรบ เห็นคนตาย เขายิงกัน ตายไปเฉยๆ ก็เห็น แต่ทำใจได้ว่าสนามรบนี่ใครตายก็ไม่มีทางรู้ว่าใคร แต่มันก็เศร้าใจตอนที่ไปเชียงตุงหนหลัง ส่วนใหญ่ไม่ใช่ถูกยิงตาย เป็นมาเลเรียตาย แล้วยาก็ไม่มีแล้ว อ้ายนี่รู้สึกว่ามันช้ำใจเหมือนกัน โธ่เอ้ย พลัดบ้านพลัดช่องมาแล้วเป็นไข้ตาย ยาไม่มี ยาแก้มาเลเรียอย่างทันสมัยมันหมดแล้ว ก็กินยาต้มยาเขียวอะไรกันก็ไม่หาย
 
ผมนั้นรอดได้ด้วยบุญจริงๆ  กองพันผมไป 37 คน เหลือมาสัก 7 คน นอกนั้นเป็นมาเลเรียตายหมด ผมคนหนึ่งที่รอดมา ผมเองฐานะดีกว่าคนอื่นเขา ก่อนไปผมรู้ว่าแถวนั้นยุงชุม มาเลเรียเชียงตุงร้ายแรงมาก ผมก็เอายามาเลเรียติดไปมากพอสมควร สมัยนั้นมันซื้อยาเทรน คำนี้เป็นภาษาเยอรมันไม่ใช่ยาอย่างใดแต่ยี่ห้อมันยาเทรน วาย เอ ที อาร์ อี เอ็น ผมก็ซื้อใส่พกใส่ห่อไป เพื่อนทหาร พลทหาร นายสิบที่ผมรู้จักเป็นผมก็ให้กิน มันก็หาย แต่ผมเองไม่ได้กินเลยจนกลับ  เสร็จสงครามก็ไม่ป่วย บุญช่วย น่ากลัวเหลือเกิน เป็นเช้านี่บ่ายไม่รู้เรื่องขึ้นสมองแล้วกลางคืนก็ตาย พอรู้ว่าเป็นไข้ให้หยูกให้ยาไม่ทันก็กลับบ้านแล้ว ทหารก็มากใครจะไปตามได้หมด ก็ช่วยได้แค่คนใกล้ๆ ที่อยู่กองร้อยเดียวกองพันเดียวกัน
 
ยังมีต่อนะ