Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ความรักคนรอบข้าง 3 ปี การจากไปของ ” ‘รงค์ วงษ์สวรรค์

 

 
การจากไปของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่เพียงจะทำให้วงการนักประพันธ์ไทยต้องสูญเสียนักเขียนคนสำคัญไปเท่านั้น
 
 
แต่ยังทิ้งแง่มุมความคิดและฉากชีวิตในโลกส่วนตัว ทั้งที่ผ่านผลงานเขียน ผ่านบทสัมภาษณ์ และผ่านการบอกเล่าจากคนใกล้ชิดเอาไว้มากมาย
 โดยเฉพาะความเป็นนักเขียนนั้น ความพิเศษในผลงานอันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบทความ สารคดี นวนิยาย เรื่องสั้น ตลอดจนการถ่ายภาพ ล้วนแล้วแต่อยู่เหนือกาลเวลาทั้งสิ้น ขณะเดียวกันโลกของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ยังเป็นต้นแบบให้แก่นักเขียนไทยรุ่นต่อมาอีกหลายต่อหลายคนด้วย
 "นักเขียนอย่าง 'รงค์ วงษ์สวรรค์…ในรอบ 100 ปี มีเพียงคนเดียว"
 นี่คือ คำพูดของอาจินต์ ปัญจพรรค์ เพื่อนนักเขียนร่วมยุคสมัยเดียวกัน แม้จะให้คำจำกัดความแบบสั้นๆ แต่ก็สามารถจะอธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ได้อย่างรอบด้าน และจากความยิ่งใหญ่และแง่มุมชีวิตของความเป็นนักเขียนเป็นที่เลื่องลือนี่เอง จึงทำให้นักทำหนังหนุ่มคนหนึ่งมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่อยากจะหยิบเรื่องราวชีวิตของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ให้มาโลดแล่นอีกครั้งหนึ่งในรูปแบบของภาพยนตร์สารคดี 
 "ผมเป็นเพียงเด็กกะโปโล ที่ไม่อาจเอื้อมไปหยิบชีวประวัติ หรือผลงานในแวดวงวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงมาทำ แต่ผมเลือกที่จะหยิบแง่มุม "ความรักจากคนรอบข้าง" ที่มีพลังอย่างยิ่งใหญ่ต่อพญาอินทรี แห่งสวนอักษร มาร้อยเรียงเป็นหนังสารคดีที่ไม่มีสูตรเฉพาะ เพื่อให้คนได้ชมแล้วหายคิดถึง " 'รงค์ วงษ์สวรรค์" ในวันที่จากไป"
 นี่คือ ความในใจของ ณิชภูมิ ชัยอนันต์    ผู้กำกับหนุ่มชาวเชียงใหม่ วัย 27 ปี ที่อยากจะสื่อให้มิตรรักแฟนน้ำหมึกเข้าใจถึงที่มาที่ไปของการทำหนังสารคดีชิ้นนี้
 สำหรับเบื้องหลังชีวิตของ ณิชภูมิ ชัยอนันต์  นั้น  เกิดที่เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2528 จบการศึกษาระดับมัธยมจาก ร.ร.มงฟอร์ต ระดับอุดมศึกษาจาก คณะการสื่อสารมวลชน สาขาวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง “ฝันฉันคือผู้กำกับ” และ “'รงค์ วงษ์สวรรค์” ทำหนังสั้นเรื่องแรก ชื่อเรื่อง "เฟรชเฉิ่ม" ขณะที่เรียนในมหาวิทยาลัย ปี 2  หลังจบการศึกษาแล้ว ได้ไปทำงานกับ สันติ แต้พานิช และ อุดม แต้พานิช เป็นผู้ช่วยผู้กำกับในหนังอิสระเรื่อง แอบถ่ายเดี่ยว 7 ต่อมาได้เป็นผู้ลำดับภาพดีวีดีการแสดง เดี่ยวไมโครโฟน ครั้งที่ 7.5 ทำหนังเรื่องยาวเรื่องแรกคือ ฝันฉันคือผู้กำกับ ในปี 2553 เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์สยามพารากอนในเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 7 ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร วายุฟิล์มโปรดักชั่น อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นค่ายหนังอิสระ ที่ทำทุกขั้นตอน นับตั้งแต่กำกับการแสดง เขียนบท และรับจ้างผลิตหนังด้วย สำหรับหนังเรื่อง  " 'รงค์ วงษ์สวรรค์ " เป็นผลงานเรื่องล่าสุด
 
0 รู้จักตัวตนของ "รงค์ วงษ์สววรค์" มากน้อยแค่ไหน? 
 ผมเป็นชาวเชียงใหม่โดยกำเนิด เป็นบัณฑิตคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบมาก็ทำหนังอิสระ ผลิต กำกับ และจัดจำหน่ายเอง ภายใต้ชื่อของ "วายุฟิล์ม" สมัยเด็กๆ เป็นคน       ที่ชอบอ่านหนังสือ ได้ยินชื่อ "รงค์ วงศ์สวรรค์" มาโดยตลอด แต่ไม่ถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ เพียงแค่เคยอ่านผลงานบ้างแต่ไม่มาก เพราะฉะนั้น ผมจึงรู้จักแค่ผ่านตัวหนังสือ ไม่เคยเจอตัวจริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมีรุ่นพี่ที่คณะติดต่อให้ไปบันทึกวีดิโองานศพ จึงทราบว่า "คุณรงค์" เสียชีวิตแล้ว เป็นเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมได้เข้ามารู้จักครอบครัวของท่าน ผ่านพี่จ่อย หรือ สเริงรงค์ วงษ์สวรรค์ ลูกชายคนสุดท้อง เจ้าของไอเดียที่เคยเห็นผลงานของผมมาบ้างแล้ว และอยากให้การทำงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่การบันทึกวีดิโอทั่วไป
 
0 ที่มาของการทำหนังสารคดีเรื่องนี้?
 ตอนที่พี่จ่อยให้โจทย์ผมมา ยอมรับว่าคิดอยู่นานเหมือนกันนะว่าจะทำดีหรือเปล่า เพราะเราเป็นแค่เด็กบ้านๆ คนหนึ่ง แฟนหนังสือก็ไม่ใช่ ไม่ได้รู้จักคุณรงค์เป็นการส่วนตัว แต่เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว และได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวมากถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ทำ หรือว่าทำออกมาไม่ดี ไม่เป็นที่น่าจดจำ ก็เดินทางไปต่อไม่ได้ คงจบเพียงการถ่ายวีดิโอแค่นี้ ซึ่งผมมองว่าจะเสียโอกาสของเราเองนะ ก็คิดอยู่หลายตลบว่าจะทำงานชิ้นนี้อย่างไรดี อยากทำให้เป็นผลงานที่ไปต่อยอดได้ ที่สำคัญทำอย่างไรให้เหมาะสมกับวัยวุฒิ คุณวุฒิของเรา สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะใช้วิธีการเล่าเรื่อง เหตุผลก็คือ "คุณรงค์" ท่านเป็นรุ่นใหญ่ เราเป็นแค่เด็กไม่หาญกล้าที่จะไปจับเล่าในประเด็นของชีวประวัติ  วิถีชีวิต ความเป็นตำนานอะไรของท่านหรอก เราทำไม่ได้แน่ๆ 
 อีกหนึ่งอย่าง ถ้ามีคนอยากทำหนังสารคดีของ "คุณรงค์" จริงๆ คงมีคนรุ่นใหญ่ๆ เขาคงทำกันไปนานแล้ว เมื่อถึงวันที่จะเสนอโปรเจคให้กับพี่จ่อยเลยได้ข้อสรุปว่า ผมจะทำเป็นหนังสารคดีโดยไม่เข้าไปแตะต้องความเป็น "รงค์ วงษ์สวรรค์" เพราะเราไม่อาจเอื้อม แต่ผมได้แรงบันดาลใจจากที่เข้าไปคลุกคลีในงานศพ ได้เห็นความรักของคนเป็นพันคนมาช่วยงาน มาร่วมงานศพเป็นร้อยเป็นพันคน ทุกคนล้วนแต่มีความรักต่อ " 'รงค์ วงษ์สวรรค์"กันหมดเลย ผมเลยจับประเด็นที่จะเล่าในส่วนความรักในช่วงที่"คุณรงค์" ได้จากไปแล้ว  เพราะมองว่าการนำเอาความรักที่เกิดขึ้นกับใครสักคนหนึ่งมาเดินเรื่อง คนรอบข้างของเขาจะเข้าใจได้ดี โดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้ซับซ้อน
 
0 รู้สึกกดดันหรือไม่ กับการทำงานของบุคคลที่มีชื่อเสียง ?
 เรื่องของความกดดันมันเป็นธรรมดาอยู่แล้วสำหรับผมที่เป็นแค่คนตัวเล็กๆ ในวงการนี้ แต่โชคดีที่คนในครอบครัว "คุณรงค์" เข้าใจ ผมก็เดินหน้าทำงานเก็บรายละเอียด, การสัมภาษณ์ และบรรยากาศภายในงานศพ, งานพระราชทานเพลิงศพ และ งานมกราคม อำลา โดยใช้เวลาหลายปีในการรวบรวมงาน แต่ในช่วงก่อนหน้านั้น ก็มีการคุยกับทางครอบครัวคุณรงค์ว่า งานชิ้นนี้ต้องการให้เลื่องชื่อไปเลยมั้ย แต่ต้องมีงบประมาณเท่านี้นะ แต่ก็ลงตัวที่ขอให้เป็นแค่ผลงานที่ออกมาเป็นหนังสักเรื่องที่เมื่อครอบครัวได้ดูแล้วหายคิดถึง ได้รู้ว่าวันนั้นเมื่อหลายปีก่อนได้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผมก็เลือกทำตามความต้องการและงบประมาณที่มีอยู่เป็นเงินหลักหลายหมื่นบาท โดยที่ผมไม่ได้คิดค่าตัว แต่ใช้งบประมาณก่อนนี้เป็นค่าม้วนวีดิโอ ค่าน้ำมันรถ ค่าข้าวของทีมงานเท่านั้น  
 ช่วงที่ถ่ายทำสารคดีเรื่องนี้ มีเสียงคำสบประมาทอยู่บ้าง เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่มาทำงานชิ้นนี้  แต่ผมก็ไม่ได้ท้อนะ  ผมพยายามจะจะเข้าหารุ่นใหญ่ เพื่อขอคำปรึกษา มีการส่งข้อความบ้าง และอธิบายเนื้อหาของงาน ว่าไม่ได้ทำหนังสารคดีที่ไปแตะต้องตัวตนของ"คุณรงค์" แต่ไม่มีเสียงจากรุ่นใหญ่ตอบรับมา
 หลังจากนั้น ผมทำงานได้สักระยะหนึ่ง พอตัดต่อหนัง สารคดีบางส่วน และปล่อยตัวอย่างหนังออกสู่สื่อต่างๆ  และสายตาของคนรัก และคนที่ชื่นชอบผลงาน "คุณรงค์" มีเสียงตอบรับกลับมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก บรรดามิตรรักแฟนน้ำหมึก ได้วิจารณ์ใช้คำว่า "รู้สึกหงุดหงิดทำไมถึงให้วายุฟิล์มทำ เพราะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่ได้มีผลงานโด่งดังอะไร" ผมในฐานะคนทำงานชิ้นนี้ พออ่านแล้ว เออ ก็รู้สึกจริงนะ และเสียใจที่คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าผมเจาะประเด็นไหน ช่วงนี้รู้สึกว่าบั่นทอนจิตใจ ถึงขั้นโทรไปปรึกษาครอบครัวคุณรงค์ แต่ทั้งคุณวงศ์ดำเลิง ลูกชายคนโต โทรมาจากสหรัฐอเมริกา ให้กำลังบอกว่า ให้ทำงานชิ้นนี้ต่อไป ไม่ต้องสนใจขอให้มีงานออกมาดี เชื่อว่าผมสามารถทำได้ บางทีคนเหล่านั้นรู้จักพ่อผมมากกว่าผมด้วยซ้ำ ผมก็เดินหน้าต่อเพราะครอบครัว"คุณรงค์"ไม่ได้อยากให้สร้างผลงานอะไรมากมาย ความกดดันก็เลยลดลง 
0 เบื้องหลังการถ่ายทำงานหนังสารคดี" 'รงค์ วงษ์สวรรค์" เป็นอย่างไร?
 ทีมงานของผม เป็นแบ่งเป็น 2 กอง คือ กองถ่าย 3 เหตุการณ์ และกองสัมภาษณ์อีกกองหนึ่ง พูดแล้วเหมือนดูเยอะ แต่จริงๆ ผมมีทีมงานกันแค่ 5 คน ทำงานด้วยวิธีง่ายๆ วิ่งแบกกล้องกันไป  ถ้าเทียบกับงานอื่นๆ ที่ผ่านมาของผม หนังสารคดีเรื่องนี้ใช้วิธีการถ่ายง่ายมาก การใช้อุปกรณ์ง่ายมาก และเป็นกองถ่ายทำที่เล็กกว่าทุกงานที่ทำมา แต่ความยากของงาน กลับอยู่ที่ "ความยากก่อนจะถ่ายทำมากกว่า เพราะต้องมีวิธีคิด และหลังการถ่ายทำ เพราะจะทำอย่างไรให้งานชิ้นนี้ดูมีอะไรมากกว่างานวีดิโอธรรมดา และจะจัดอย่างไรให้ดูมีเรื่องราวมีประเด็นมากกว่าให้คนมานั่งดูบรรยากาศงานศพเฉยๆ  
 ผมใช้วิธีสัมภาษณ์คนในครอบครัว และญาติสนิทมิตรสหาย "คุณรงค์"ในงานศพ เจอใครก็กระซิบถาม "พี่จ่อย" ลูกชายคนเล็ก จากนั้นก็จะมีการแนะนำให้แต่ละท่านว่ากำลังเก็บรายละเอียดของงานชิ้นนี้ส่วนใหญ่จะได้รายละเอียดที่จะนำมาเป็นข้อมูลในการเดินเรื่องจะมาจาก "คนในครอบครัว" ว่าควรมีคนนั้นคนนี้นะ ทำให้งานง่ายขึ้น และเดินเรื่องโดยใช้เหตุการณ์เป็นสีสัน มากกว่า คนให้สัมภาษณ์ที่พยายามเลือกให้น้อยที่สุด แต่เน้นจากคนในครอบครัวเป็นหลัก ส่วนคนอื่นใส่เข้ามาเพื่อเสริมบางเรื่องที่มันโหว่ไป ตอนนั้นผมคิดหลายตลบเหมือนกัน หากว่าใส่สัมภาษณ์คนนี้มา คนนั้นไม่ได้ใส่จะโดนด่าหรือเปล่า 
 สุดท้ายก็จะมี หงา คาราวาน,   ขุนทอง อัสนี",   ศุ บุญเลี้ยง" , อ.ช่วง มูลพินิจ  ,  บินหลา สันกาลาคีรี, กรรณิการ์ เพชรแก้ว  เข้ามาช่วยเดินเรื่องในบางมุมที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของ "คุณรงค์" และนำเอางานที่เก็บมาจาก 3 เหตุการณ์ คือ งานศพ, งานพระราชทานเพลิงศพ, งานมกราคมอำลา มาช่วยเล่าอดีตปัจจุบันอนาคต ผ่านความรู้สึกของคนในครอบครัว , เพื่อนสนิทมิตรสหายในแวดวงน้ำหมึก เป็นการเดินเรื่องเล่าแบบเรียบๆ ตามวัตถุประสงค์ของภรรยา และลูกชายทั้ง 2 คน ที่ต้องการให้หนังสารคดีชิ้นนี้ เมื่อคนรอบข้างของ"คุณรงค์"ได้ดูแล้ว หายคิดถึงเท่านั้น ไม่ต้องการสื่อให้รู้จักคุณรงค์มากขึ้น หรือเชิดชู เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว และจับต้องได้ผ่านสื่อตัวอักษรในหนังสือต่างๆ  
 การกำกับภาพจากภาพที่ผมและทีมงาน จะใช้ภาพที่ถ่ายมาจากตาเห็นไม่ใช้การเล่นมุมกล้อง เพื่อขับอารมณ์คนดู แต่เป็นเหตุการณ์จริง ๆ  ผมไม่มีต้นฉบับในการทำสารคดีเรื่องนี้  ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้มีความแตกต่างจากหนังสารคดีเรื่องอื่นๆ เลย ไม่ได้คาดหวังการตอบรับ เพียงแต่ผมตั้งใจที่อยากจะนำเอาเหตุการณ์ที่เก็บรวบรวมมากทั้งหมด ใส่ลงไปในงานชิ้นนี้ให้เกิดความเชื่อมโยงกัน ภายใต้การตัดต่องานแบบไร้รูปแบบ อยากจะเล่าอะไรก็เล่า อยากจะตัดอะไรก็ตัด จะเอาเสียงเหตุการณ์นี้ไปใส่กับเหตุการณ์นั้น ทิ้งสูตรทิ้งทุกอย่างออกไปเลย ทิ้งการเล่าเรื่องสารคดีที่ควรจะเป็นไปหมดเลย ให้เต็มไปด้วยอารมณ์ดีกว่า จะไม่มีการโชว์เทคนิคอะไร มีการปล่อยเสียง ปล่อยอารมณ์ของภาพ ให้มันเล่าด้วยตัวเอง ปรุงแต่งให้น้อยที่สุด 
 งานชิ้นนี้มีเพลง "ในสวนทูนอิน" แต่งและขับร้องโดย ฟ้าครามรักตะวัน มากล่อมเกลาให้บรรยากาศในการชมสารคดีได้ความรู้สึกอบอวลไปด้วยความรัก ผมใช้เวลาเกือบ 2 ปี กว่าจะถ่ายเสร็จ ด้วยรอคิวของคนในครอบครัว รออารมณ์อะไรบางอย่างที่ต้องใช้เวลา ให้ผ่านเนิ่นนานไปก่อนที่จะใช้คำถามนี้รอระยะเวลาของการเยียวยาจาก "คุณติ๋ม" ภรรยาคุณรงค์ ว่าช่วงแรกที่ถามคำถามนี้ตอบแบบนี้  สองปีผ่านไปเขาจะตอบยังไง เป็นการรอคอย แต่จะมีคุณค่าต่อคนที่ได้ชมหนังสารคดีเรื่องนี้ 
0 อยากจะบอกอะไรกับคนที่จะไปดู "หนังสารคดี 'รงค์ วงษ์สววรค์" บ้างไหม?
 ผมทำงานชิ้นนี้รู้สึกว่าชอบนะ และเชื่อว่ามิตรรักแฟนน้ำหมึกของ" 'รงค์ วงษ์สวรรค์" คงจะเข้าใจผมมากขึ้น กับประเด็นเล็กๆ ที่หยิบขึ้นมา แต่มีความหมายกับคนทุกคนที่คิดถึงคนที่จากไปแล้ว และเชื่อว่าทุกคนที่รู้จัก"คุณรงค์" เมื่อชมสารคดีเรื่องนี้แล้ว จะสามารถปะติดปะต่อ และต่อจิ๊กซอว์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นผ่านไปแล้วในรอบ 2 ปีของจากการไป ซึ่งถือว่าเป็นหนังสารคดีชิ้นที่สองในชีวิตผม แต่คงจะหยุดงานผลิตสารคดีไว้ตรงนี้ก่อน หลังจากนี้ไปผมคิดว่า คงต้องไปโลดแล่นทำหนังเล่าเรื่องตามประสาวัยรุ่น ที่จะทำ ไปใช้ชีวิตที่ผ่านโลกรอบด้านสัก 5-6 ปีก่อน ให้ความคิดตกผลึกมากกว่านี้ ค่อยกลับมาจับงานสารคดีกันอีกรอบ เพราะมีเรื่องอยู่ในใจอยู่แล้ว
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆของ http://www.bangkokbiznews.com