ความต่างระหว่างการแปล การถอดความ และการเลียนแบบ

การที่คำพูดถูกแปลจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง เป็นเรื่องที่เราพบเจอทุกหนแห่งในรูปแบบต่าง ๆ กันไป ในด้านหนึ่ง การแปลช่วยให้ผู้คนที่เคยถูกขวางกั้นจากกันด้วยความกว้างใหญ่ของพื้นโลกมาติดต่อกันได้ หรืออาจช่วยดูดซับเอาผลิตผลของภาษาที่สาบสูญไปแล้วหลายศตวรรษมาไว้ในอีกภาษาหนึ่ง
ในอีกด้านหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องก้าวออกไปนอกพรมแดนของภาษาใดภาษาหนึ่งเพื่อพบกับปรากฏการณ์ของการแปล เพราะภาษาพูดของชนเผ่าที่แตกต่างกันภายในหนึ่งชนชาติ และพัฒนาการที่แตกต่างกันของภาษาเดียวกันหรือภาษาท้องถิ่นในแต่ละศตวรรษ หากจะกล่าวอย่างเข้มงวดแล้ว ย่อมถือเป็นภาษาที่แตกต่างกัน บ่อยครั้งต้องอาศัยการแปลโดยสิ้นเชิง
แม้กระทั่งคนร่วมยุคสมัยเดียวกัน ไม่ได้ถูกขวางกั้นด้วยภาษาท้องถิ่น แต่มาจากคนละชนชั้นทางสังคมที่มีการติดต่อกันน้อยมาก และมีช่องว่างทางการศึกษา ก็มักสื่อสารกันได้รู้เรื่องต่อเมื่ออาศัยกระบวนการแปลเช่นกัน
จะว่าไปแล้ว มิใช่มีบ่อยครั้งหรือที่เราต้องแปลคำพูดของคนอีกคนหนึ่งให้ตัวเราเองฟัง แม้ว่าคน ๆ นั้นจะดูใกล้เคียงกับเรา แต่มีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างจากเรามาก? เวลาที่เรารู้สึกว่า คำพูดเดียวกัน ถ้าออกมาจากปากของเรา น่าจะมีความหมายแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง หรือมีน้ำหนักแข็งกว่าหรืออ่อนกว่าเมื่อออกมาจากปากของเขา และเราคงใช้ถ้อยคำสำนวนที่แตกต่างออกไป หากเราต้องการสื่อสารในสิ่งเดียวกับที่เขาตั้งใจจะพูด เมื่อเรานิยามความรู้สึกนี้ให้แก่ตัวเองอย่างแจ่มชัดมากขึ้น และเมื่อมันกลายเป็นความคิดในใจเรา นั่นเท่ากับเรากำลังแปลนั่นเอง มีบ้างบางครั้งด้วยซ้ำไปที่เราต้องแปลคำพูดของตัวเราเอง เมื่อเราต้องการทำให้คำพูดนั้นเป็นของเราจริง ๆ
อีกครั้งหนึ่ง ทักษะการแปลไม่ได้ใช้เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะโยกย้ายสิ่งที่ภาษาหนึ่งสร้างขึ้นในทางวิชาการและวาทศิลป์มาปลูกลงบนพื้นดินต่างประเทศ เพื่อขยายขอบเขตของพลังความคิดเท่านั้น แต่ยังใช้ในการติดต่อค้าขายทางธุรกิจระหว่างบุคคลต่างชนชาติ รวมทั้งการติดต่อสื่อสารทางการทูตระหว่างรัฐบาลอธิปไตย ซึ่งต่างฝ่ายต่างนิยมเจรจากับอีกฝ่ายด้วยภาษาของตัวเอง เพื่อเป็นหลักประกันว่าต่างเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาที่ตายแล้ว(2)
แน่นอน ในการอภิปรายครั้งนี้ เราไม่คิดจะพูดครอบคลุมหมดทุกเรื่องที่อยู่ในขอบเขตกว้างใหญ่ของหัวข้อนี้ ความจำเป็นที่ต้องมีการแปล แม้แต่ภายในภาษาและสำนวนพูดของตัวเอง –ซึ่งเป็นความจำเป็นทางด้านอารมณ์ความรู้สึกเฉพาะหน้าไม่มากก็น้อย– ในแง่ของความสำคัญแล้ว ถือว่าไม่จำเป็นต้องมีการชี้แนะมากไปกว่าปัจจัยทางด้านอารมณ์ความรู้สึก หากต้องมีการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแปลประเภทนี้ มันก็คงเป็นแค่กฎเกณฑ์ที่วางจุดยืนทางด้านจริยธรรมล้วน ๆ เพื่อให้คนเปิดใจกว้างต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกันมากนัก
แต่ถ้าหากเรายกการแปลประเภทนี้ออกไปก่อน และว่ากันเฉพาะการแปลจากภาษาต่างประเทศมาเป็นภาษาของเรา เราสามารถแบ่งการแปลประเภทนี้ออกเป็นสองระเบียบวิธี ซึ่งมิใช่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะมันมักจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่แตกต่างกันด้วยเส้นแบ่งที่เหลื่อมซ้อนกันมากกว่า กระนั้นก็ยังถือว่าเป็นระเบียบวิธีที่ต่างกันอยู่ดี หากพิจารณาถึงเป้าหมายสุดท้ายของแต่ละวิธี หน้าที่ของล่ามอยู่ในโลกของธุรกิจ ส่วนหน้าที่ของนักแปลที่แท้จริงอยู่ในด้านวิชาการและศิลปะ หากท่านใดเห็นว่าคำนิยามนี้ใช้ตามอำเภอใจ โดยถือตามความเข้าใจทั่วไปว่า ล่ามหมายถึงการถ่ายทอดระหว่างภาษาด้วยปาก และการแปลคือการถ่ายทอดทางลายลักษณ์อักษร ข้าพเจ้าก็ต้องขออภัยที่ใช้คำสองคำนี้ เพราะมันยังใช้ได้ดีในกรณีนี้และคำนิยามทั้งสองแบบก็ยังไม่แตกต่างกันจนเกินไป
การเขียนเหมาะกับงานวิชาการและศิลปะ เพราะการเขียนทำให้ผลงานดำรงคงทน การถ่ายทอดผลงานวิชาการและศิลปะด้วยปากย่อมไร้ประโยชน์พอ ๆ กับที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ในการติดต่อทางธุรกิจ การเขียนเป็นแค่เครื่องมือที่เหมือนอุปกรณ์อย่างหนึ่ง ในกรณีนี้ การสื่อสารด้วยปากเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด และโดยพื้นฐานแล้ว เราควรถือว่า งานล่ามที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นแค่การจดบันทึกงานล่ามด้วยปากเท่านั้นเอง
การแปลมีความแตกต่างจากการเป็นล่ามมาก เมื่อไรก็ตามที่คำไม่ได้ผูกอยู่กับวัตถุที่จับต้องได้หรือข้อเท็จจริงภายนอก (ซึ่งคำทำหน้าที่เพียงพาดพิงถึงเท่านั้น) เมื่อไรก็ตามที่ผู้พูดคิดอย่างเป็นเอกเทศไม่มากก็น้อยและต้องการสื่อสารออกมาตามนั้น เมื่อนั้น ผู้พูดย่อมมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับภาษา และคำพูดของเขาจะเป็นที่เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็ต่อเมื่อเข้าใจความสัมพันธ์นั้นอย่างถูกต้องด้วย
ในแง่หนึ่ง มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของภาษาที่ตนพูด ตัวเขาและการคิดทั้งหมดของเขาเป็นผลผลิตของภาษา เขาไม่สามารถคิดอะไรก็ตามที่อยู่นอกเหนือขีดจำกัดของภาษาโดยยังคงไว้ซึ่งความแน่ชัดแจ่มแจ้ง รูปแบบความคิด ลักษณะและวิธีเชื่อมโยงความคิด มีเค้าโครงวางไว้ให้เขาอยู่แล้วจากภาษาที่เขาเกิดมาและเรียนรู้
ปัญญาและจินตนาการถูกผูกมัดด้วยเงื่อนภาษา แต่ในอีกด้านหนึ่ง มนุษย์ทุกคนที่มีความคิดอิสระและมีสติปัญญาย่อมสร้างรูปแบบภาษาเฉพาะตัวขึ้นมา เพราะจะมีวิธีอื่นใดอีกเล่า หากมิใช่จากอิทธิพลดังกล่าวนี้ ภาษาจึงก่อรูปก่อร่างและเติบโตจากภาวะดิบเถื่อนเริ่มแรก ไปสู่ภาวะที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในทางวิชาการและศิลปะ
ดังนั้น ในแง่นี้ พลังอันมีชีวิตชีวาของปัจเจกบุคคลนั่นเองที่สร้างรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาในภาษาที่เปรียบเสมือนวัตถุดิบอันยืดหยุ่นได้ แรกเริ่มเดิมทีก็ทำไปเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ชั่วคราว ที่จะสื่อสารถึงความตระหนักรู้ที่ผ่านวาบเข้ามา แต่ทว่ารูปแบบที่สร้างขึ้นใหม่ทิ้งค้างอยู่ในภาษามากบ้างน้อยบ้าง และมีคนอื่นมารับช่วงเผยแพร่ต่อไป เราสามารถกล่าวได้ด้วยซ้ำไปว่า บุคคลต้องมีอิทธิพลต่อภาษาถึงระดับหนึ่งเท่านั้น เขาจึงสมควรเป็นที่รับฟังในวงกว้างนอกเหนือไปจากแวดวงที่ใกล้ชิดกับตัวเขา
เสียงที่เปล่งออกมาทุกเสียง ถ้าเปล่งออกมาเป็นพัน ๆ ครั้ง ก็ยังคงผลิตซ้ำในแบบเดียวกันเสมอ เสียงนั้นย่อมเลือนหายไปในไม่ช้า มีเพียงเสียงที่กระตุ้นชีพจรใหม่ ๆ เข้าไปในชีวิตของภาษาเท่านั้นที่ยืนยงได้เนิ่นนานกว่า ด้วยเหตุนี้เอง ถ้อยคำที่เป็นอิสระและสูงค่าทุกถ้อยคำ จึงต้องการเป็นที่รับรู้ในสองลักษณะ กล่าวคือ
– ในด้านหนึ่ง เป็นการรับรู้จากจิตวิญญาณของภาษาซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ภาษาซึ่งผูกพันและนิยามด้วยจิตวิญญาณและสำแดงออกอย่างแจ่มชัดในตัวผู้พูด
– ในอีกด้านหนึ่ง เป็นการรับรู้จากอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูด ในฐานะการกระทำที่เป็นของตัวเขาเอง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นและอธิบายได้ด้วยลักษณะเฉพาะในตัวเขาเท่านั้น
อันที่จริง การเข้าใจถ้อยคำเช่นนี้เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมองเห็นชัดเจนว่า ทั้งสองแง่มุมนี้มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงต่อกันเช่นไร กระทั่งรู้ว่าแง่ไหนในสองแง่ที่มีอิทธิพลในส่วนทั้งหมดหรือในแต่ละส่วนประกอบ
เราสามารถทำความเข้าใจถ้อยคำที่พูดออกมาในฐานะการกระทำของผู้พูดได้ ก็ต่อเมื่อทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันว่า อำนาจของภาษาครอบงำผู้พูดตรงไหนและอย่างไร ความคิดวิ่งลงมาตามสายล่อตรงจุดไหน จินตนาการอันเลื่อนลอยจับตัวเป็นรูปร่างตรงไหนและอย่างไร
นอกจากนั้น คำพูดในฐานะผลิตผลของภาษาและในฐานะการสำแดงออกของจิตวิญญาณแห่งภาษา สามารถเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเป็นดังตัวอย่างเช่น ผู้อ่านรู้สึกว่ามีแต่คนกรีกเท่านั้นที่คิดและพูดแบบนี้ มีแต่ภาษากรีกเท่านั้นที่สามารถทำงานในจิตมนุษย์แบบนี้ และคนคนนี้เท่านั้นที่สามารถคิดและพูดภาษากรีกในแบบนี้ มีแต่คนคนนี้เท่านั้นที่สามารถเข้าใจและสร้างรูปร่างให้ภาษาในแบบนี้ และมีแต่แบบนี้เท่านั้นที่ความร่ำรวยของภาษาที่เขาครอบครองอยู่อย่างมีชีวิตชีวาได้สำแดงออกมา กล่าวคือ ประสาทสัมผัสอันละเอียดอ่อนที่มีต่อจังหวะและความไพเราะ ความสามารถที่จะคิดและสร้างสรรค์ที่เป็นของตัวเขาคนเดียว
ถ้าหากความเข้าใจในภาษาเดียวกันก็ยากอยู่แล้ว ทั้งยังต้องอาศัยเงื่อนไขเบื้องต้นของความเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ต่อจิตวิญญาณของภาษาและลักษณะเฉพาะตัวของผู้เขียนแล้วไซร้ มันจะไม่ยิ่งเป็นศิลปะที่พัฒนาจนถึงขั้นสูงดอกหรือ เมื่อต้องนำมาใช้กับผลงานของคนต่างชาติและต่างภาษาที่ห่างไกลตัวเรา!
แน่นอน ใครก็ตามที่บรรลุถึงศิลปะแห่งความเข้าใจ ด้วยความมุมานะใฝ่ใจในภาษา ด้วยความรอบรู้ในชีวิตทางประวัติศาสตร์ของชนชาติหนึ่ง และด้วยการตีความผลงานแต่ละชิ้น และตัวผู้ประพันธ์อย่างเข้มงวดกวดขันที่สุด แน่นอน ย่อมมีเพียงคนคนนี้และตัวเขาเท่านั้น ที่สามารถตั้งความปรารถนาที่จะเผยความเข้าใจอันเดียวกันนี้ ที่มีต่อผลงานชั้นเยี่ยมทางศิลปะและวิชาการแก่เพื่อนร่วมชาติและเพื่อนร่วมยุคสมัย
อย่างไรก็ตาม ข้อกังขาย่อมบังเกิดขึ้น ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาสู่ภารกิจนี้ ทันทีที่เขาต้องการนิยามเป้าหมายของตนให้แจ่มชัดกว่าเดิม และเริ่มประเมินวิธีการไปสู่เป้าหมายของตน เขาควรพยายามนำทั้งสองฝ่ายเข้ามาหากัน ทั้งที่สองฝ่ายแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือนักเขียนฝ่ายหนึ่ง กับเพื่อนร่วมชาติของเขาซึ่งไม่รู้ภาษาของนักเขียนเลยอีกฝ่ายหนึ่ง โดยดึงให้เข้ามามีความสัมพันธ์ต่อกันโดยตรง เหมือนดังนักเขียนกับผู้อ่านในภาษาเดียวกันหรือเปล่า?
หรือหากว่าเขาต้องการเปิดทางต่อนักอ่านให้รับรู้เพียงแค่ความสัมพันธ์ และความรื่นรมย์แบบเดียวกับที่ตัวเขาประสบ โดยยังทิ้งร่องรอยให้เห็นความยากลำบากและคงไว้ซึ่งรสชาติของความเป็นต่างด้าว เขาจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างไรด้วยวิธีการเท่าที่มีอยู่? หากต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจ ก็ต้องทำให้ผู้อ่านหยั่งซึ้งถึงจิตวิญญาณของภาษาที่เป็นภาษาดั้งเดิมของนักเขียน และผู้อ่านยังต้องสามารถแลเห็นวิธีการเฉพาะตัวของนักเขียนทั้งความคิดและความรู้สึกด้วย
เพื่อบรรลุเป้าหมายสองประการนี้ นักแปลไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะนำเสนอต่อผู้อ่าน นอกจากภาษาของตน ซึ่งไม่มีตรงไหนที่สอดคล้องต้องตรงกับภาษาต้นฉบับเลย บวกกับตัวนักแปลเอง ซึ่งความเข้าใจในแง่ของการตีความที่มีต่อนักเขียนมีความชัดเจนมากบ้างน้อยบ้าง และความนิยมชมชื่นที่มีต่อตัวนักเขียนก็มีมากบ้างน้อยบ้างเช่นกัน หากพิจารณาในแง่นี้แล้ว หรือเราต้องถือว่า การแปลช่างเป็นภารกิจที่โง่เขลาเหลือเกิน?
ด้วยเหตุนี้เอง ในความท้อแท้ว่าไม่มีทางบรรลุถึงเป้าหมาย หรืออีกแง่หนึ่งคือ ก่อนจะมาถึงจุดที่ตระหนักถึงความสิ้นท่าอย่างชัดเจน มีวิธีการสองอย่างถูกคิดค้นขึ้น มาเพื่อหาทางสร้างความคุ้นเคยกับผลงานของภาษาต่างด้าว (ไม่ใช่เพื่อสัมผัสถึงตัวงานศิลปะหรือภาษาอย่างแท้จริง แต่เพื่อความจำเป็นทางภูมิปัญญาในด้านหนึ่ง กับอีกด้านหนึ่งคือเพื่อเป็นศิลปะประเทืองปัญญา) โดยปัดอุปสรรคบางอย่างทิ้งไปเสีย ส่วนอุปสรรคบางอย่างก็หาทางหลีกเลี่ยงอย่างแยบยล แต่แนวความคิดเกี่ยวกับการแปลที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ถูกโยนทิ้งไปโดยสิ้นเชิง วิธีการสองอย่างที่คิดค้นขึ้นมาก็คือ
– การถอดความ (paraphrase หรือเรียบเรียง) และ
– การเลียนแบบ (imitation)
การถอดความ (paraphrase)
คือการหาทางเอาชนะความไร้เหตุผลของภาษา เพียงแต่อาศัยวิธีทื่อ ๆ โดยบอกตัวเองว่า "ถึงแม้ฉันไม่พบคำในภาษาของฉันที่สอดรับกับคำในภาษาต้นฉบับ ฉันก็ยังหาวิธีคงคุณค่าของต้นฉบับไว้ได้ด้วยโดยเพิ่มคำจำกัดความหรือคำขยายความเข้าไป" ดังนั้น การถอดความจึงแก้ปัญหาด้วยการรวบรวมรายละเอียดที่นิยามอย่างหลวม ๆ แกว่งไปแกว่งมาระหว่างสองขั้วของ "ความมากเกินไป" ที่เยิ่นเย้อรุงรัง กับ "ความน้อยเกินไป" อย่างน่าเสียดาย
ด้วยวิธีการนี้ มันอาจถ่ายทอดเนื้อหาบางส่วนออกมาได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรงในขอบเขตจำกัด แต่ละทิ้งความประทับใจของต้นฉบับไปโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะภาษาอันมีชีวิตชีวาถูกฆ่าอย่างไม่มีทางกู้ชีพ ทุกคนรู้สึกได้ว่า ต้นฉบับไม่มีทางเป็นแบบนี้ และไม่มีทางกลั่นออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่ง นักถอดความจัดการกับองค์ประกอบของทั้งสองภาษา ราวกับมันเป็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่สามารถลดทอนจนเหลือค่าเท่ากันได้ด้วยการบวกหรือลบ แต่จิตวิญญาณของภาษาที่แปลงมาหรือภาษาต้นฉบับย่อมไม่มีทางสำแดงออกมาได้ด้วยกระบวนการแบบนี้
ยิ่งกว่านั้น ถ้าการถอดความพยายามค้นหาร่องรอยทางจิตวิทยาของการเชื่อมโยงทางความคิด ซึ่งมักคลุมเครือและเลื่อนลอย โดยใช้อนุประโยคต่าง ๆ เสริมเข้ามา ย่อมเท่ากับว่าการถอดความนั้นพยายามทำตัวเป็นงานอรรถกถาพร้อม ๆ กันไปด้วย โดยเฉพาะในงานเขียนยาก ๆ การถอดความจึงยิ่งห่างไกลจากแนวความคิดของการแปลออกไปอีก
การเลียนแบบ (imitation)
คือการยอมจำนนต่อความไร้เหตุผลของภาษา ยอมรับว่าไม่มีทางสร้างแบบจำลองของผลงานศิลปะการประพันธ์จากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง โดยที่แต่ละส่วนของภาษาปลายทางสอดรับกับแต่ละส่วนของภาษาต้นทางอย่างเที่ยงตรง ดังนั้น ด้วยความแตกต่างของภาษา (ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงความแตกต่างอื่น ๆ ที่สำคัญอีกเป็นจำนวนมาก) จึงไม่มีทางทำอะไรได้ นอกจากเขียนเลียนแบบขึ้นมาใหม่ โดยที่ผลงานทั้งหมดประกอบขึ้นมาจากส่วนต่าง ๆ ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากส่วนต่าง ๆ ของต้นฉบับ แต่กระนั้นก็ตาม มันยังให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับโดยรวม เท่าที่ความแตกต่างในวัตถุดิบจะเอื้อให้เกิดขึ้นได้
การสร้างใหม่แบบนี้ย่อมไม่ใช่ผลงานดั้งเดิมอีกต่อไป ทั้งยังมิได้มุ่งหมายที่จะเป็นตัวแทนและสำแดงถึงจิตวิญญาณของภาษาต้นทางอย่างแท้จริงด้วย ความเป็นต่างด้าวที่มีอยู่ในต้นฉบับถูกเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือซาก เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างของภาษา ศีลธรรมและการศึกษา ผลงานประเภทนี้คาดหมายที่จะทำปฏิกิริยาต่อผู้อ่าน เช่นเดียวกับที่ต้นฉบับทำปฏิกิริยาต่อผู้อ่านในภาษาดั้งเดิมให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
ในการพยายามรักษาปฏิกิริยาเดียวกันนี้ไว้ มันจึงต้องบูชายัญเอกลักษณ์ของผลงานนั้นเสีย
ด้วยเหตุนี้เอง นักเลียนแบบจึงไม่มีเจตนาแม้แต่น้อยนิดที่จะชักนำทั้งสองฝ่ายเข้ามาหากัน กล่าวคือ ผู้เขียนภาษาต้นฉบับกับผู้อ่านผลงานเลียนแบบ ทั้งนี้เพราะนักเลียนแบบไม่เชื่อว่า ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างสองฝ่ายนี้เป็นไปได้ เขาเพียงแต่ต้องการให้ผู้อ่านได้รับความประทับใจคล้ายกับที่ผู้อ่านร่วมภาษากับต้นฉบับได้รับเท่านั้นเอง
การถอดความมักใช้ในงานวิชาการ ส่วนการเลียนแบบมักใช้ในงานศิลปะ และดังที่ทุกคนยอมรับว่า ผลงานศิลปะย่อมสูญเสียน้ำเสียง ความงามและเนื้อหาทางศิลปะทั้งมวลไปกับการถอดความ ในทำนองเดียวกัน คงไม่มีใครโง่พอที่จะคิดหาทางเลียนแบบผลงานชิ้นเอกทางวิชาการโดยเขียนเนื้อหาขึ้นมาใหม่ตามอำเภอใจเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม กระบวนการทั้งสองแบบนี้ย่อมไม่เป็นที่พึงพอใจแก่ใครก็ตาม ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณค่าของผลงานชิ้นเอกในภาษาอื่น และต้องการถ่ายทอดพลังของผลงานนั้น ให้แก่ผู้อ่านที่พูดภาษาเดียวกับเขา อีกทั้งเขายังมีแนวความคิดเกี่ยวกับการแปลที่เข้มงวดกว่านั้นอยู่ในใจด้วย ในที่นี้ เราไม่สามารถประเมินค่าการถอดความและการเลียนแบบให้ละเอียดกว่านี้ เพราะมันอยู่นอกเหนือแนวความคิดเกี่ยวกับการแปล เราเพียงแต่หยิบยกขึ้นมา เพื่อตีกรอบให้เห็นถึงขอบเขตของสิ่งที่เราสนใจ
แต่เมื่อนักแปลที่แท้จริง ซึ่งต้องการชักนำสองฝ่ายที่แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิงให้เข้ามาหากัน กล่าวคือผู้ประพันธ์กับผู้อ่าน และช่วยให้ผู้อ่านได้รับความเข้าใจและความรื่นรมย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ทำได้จากผู้ประพันธ์ โดยไม่ต้องบังคับให้ผู้อ่านก้าวออกมาจากพรมแดนของภาษาแม่ มีหนทางใดบ้างที่เปิดแก่นักแปลผู้มีวัตถุประสงค์เช่นนั้น?
ในทัศนะของข้าพเจ้า มีเพียงสองหนทางเท่านั้น
– หนทางหนึ่งคือนักแปลปล่อยให้นักเขียนเป็นอย่างที่เป็นอยู่ให้มากที่สุด และดึงผู้อ่านให้เป็นฝ่ายเข้ามาหานักเขียน
– ส่วนอีกหนทางหนึ่งคือปล่อยให้ผู้อ่านเป็นอย่างที่เป็นอยู่ให้มากที่สุด และดึงนักเขียนให้เป็นฝ่ายเข้ามาหาผู้อ่าน
สองหนทางนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากว่าใช้หนทางใด ก็ควรยึดถือหนทางนั้นให้เข้มงวดที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะหากผสมสองหนทางนี้เข้าด้วยกัน ย่อมก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ลักลั่นอย่างยิ่ง และอาจกลายเป็นว่าทั้งผู้ประพันธ์และผู้อ่านไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้กันเลย
ความแตกต่างระหว่างสองวิธีการนี้ และในข้อที่ว่ามันมีความสัมพันธ์กันแบบนี้ ย่อมเห็นได้ชัดทันที สำหรับในกรณีแรก นักแปลใช้ผลงานแปลของตนเองชดเชยให้แก่การขาดความเข้าใจในภาษาต้นทางของผู้อ่าน นักแปลพยายามถ่ายทอดต่อผู้อ่านถึงภาพพจน์เดียวกัน ความประทับใจเดียวกันกับที่ตัวนักแปลเองได้รับจากผลงานประพันธ์นั้น โดยอาศัยความรู้ที่เขามีต่อภาษาต้นทาง และพยายามดึงผู้อ่านให้ขยับเข้ามาสู่จุดยืนเดียวกับเขา ซึ่งเป็นจุดยืนที่แปลกแยกจากผู้อ่านอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น
ถ้างานแปลพยายามทำให้ผู้ประพันธ์ชาวโรมัน พูดและเขียนอย่างชาวเยอรมันต่อชาวเยอรมัน ย่อมเท่ากับงานแปลนั้นไม่ได้ดึงผู้ประพันธ์ให้ก้าวเข้ามาสู่จุดที่นักแปลยืนอยู่ เพราะผู้ประพันธ์ไม่ได้พูดภาษาเยอรมันกับนักแปล แต่พูดภาษาละตินต่างหาก ในทางตรงกันข้าม นี่เป็นการดึงผู้ประพันธ์ให้ก้าวเข้ามาอยู่ในโลกของผู้อ่านชาวเยอรมันโดยตรงและเปลี่ยนผู้ประพันธ์ให้กลายเป็นหนึ่งในหมู่ผู้อ่าน และนี่คือวิธีแปลแบบที่สองต่างหาก
การแปลแบบแรกจะสมบูรณ์แบบตามวิธีการของมัน หากเราพูดได้ว่า ถ้าผู้ประพันธ์เรียนรู้ภาษาเยอรมันได้ดีเท่ากับที่นักแปลเรียนรู้ภาษาละติน ผู้ประพันธ์ย่อมแปลงานของตนเองที่เดิมเขียนเป็นภาษาละติน ไม่แตกต่างไปจากที่นักแปลแปลออกมา แต่การแปลแบบที่สอง ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ประพันธ์จะแปลงานของตนเองอย่างไร แต่แสดงให้เห็นว่าหากผู้ประพันธ์เป็นชาวเยอรมัน เขาจะเขียนต้นฉบับออกมาเป็นภาษาเยอรมันอย่างไร
การแปลแบบที่สองจึงมีบรรทัดฐานของความสมบูรณ์แบบอยู่ที่การรับประกันว่า หากผู้อ่านชาวเยอรมันทุกคนสามารถแปลงกายเป็นผู้เชี่ยวชาญและบุคคลร่วมสมัยกับนักเขียน ผลงานต้นฉบับย่อมก่อให้เกิดความประทับใจต่อผู้อ่านแบบเดียวกับผลงานแปล ทั้งนี้เพราะผู้ประพันธ์ถูกแปลงเป็นชาวเยอรมันไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่า วิธีการนี้อยู่ในใจของบรรดานักแปลที่ใช้สูตรว่า ควรแปลให้เสมือนหนึ่งผู้ประพันธ์เขียนเป็นภาษาเยอรมันเอง จากการเปรียบเทียบ ทำให้เห็นชัดทันทีว่า กระบวนการทั้งสองแบบย่อมแตกต่างกันในทุกรายละเอียดเพียงไร และทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาผิดเพี้ยนและล้มเหลวเพียงไรหากใช้สองวิธีการนี้สลับกันไปมาในโครงการแปลเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า นอกเหนือจากสองวิธีการนี้แล้ว ไม่มีวิธีการที่สามที่มีเป้าหมายแน่ชัดอีก อันที่จริง ไม่มีวิธีการอื่นอีกแล้วที่เป็นไปได้ สองฝ่ายที่แยกจากกันต้องมาพบกันที่จุด ๆ หนึ่ง ซึ่งจุด ๆ นั้นย่อมเป็นตัวนักแปลเสมอ หรือไม่ก็อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อมโยงกับอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ ในความเป็นไปได้สองประการนี้ มีเพียงประการเดียวเท่านั้นที่อยู่ในขอบเขตของการแปล
ส่วนอีกประการอาจเกิดขึ้น เช่นในกรณีที่ผู้อ่านชาวเยอรมันเกิดเข้าใจภาษาละตินขึ้นมาโดยสมบูรณ์ หรือภาษาเกิดครอบงำผู้อ่านโดยสมบูรณ์ จนถึงขั้นที่เปลี่ยนผู้อ่านไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น สิ่งที่เคยพูด ๆ กันมาเกี่ยวกับการแปลตามตัวอักษรกับการแปลตามความหมาย เกี่ยวกับการแปลอย่างซื่อสัตย์และการแปลแบบอิสระ (รวมทั้งไม่ว่าจะใช้สำนวนเรียกอย่างไรต่อไปข้างหน้าก็ตามที) ต่อให้อ้างว่าเป็นวิธีการที่แตกต่างกันแค่ไหน ถึงที่สุดแล้ว มันต้องตกอยู่ในสองวิธีการที่กล่าวมาข้างต้นเสมอ
แต่ถ้าหากจะถกเถียงกันถึงข้อผิดพลาดและข้อดีโดยอยู่ในบริบทนี้ ถ้าอย่างนั้น การแปลที่ผลิตซ้ำความหมายอย่างซื่อตรง หรือการแปลที่ตรงตามตัวอักษรเกินไปหรืออิสระเกินไปในวิธีการหนึ่ง ๆ ก็คงถือได้ว่ามีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ความตั้งใจของข้าพเจ้า โดยมิพักกล่าวถึงคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับหัวข้อนี้ที่ผู้สันทัดกรณีได้ปราศรัยกันไปบ้างแล้ว ข้าพเจ้าต้องการพิจารณาเฉพาะลักษณะโดยรวมกว้าง ๆ ของสองวิธีการนี้เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงข้อเสีย (รวมทั้งข้อจำกัดของการนำมาประยุกต์ใช้) ของแต่ละวิธีการ และแต่ละวิธีการสามารถบรรลุถึงเป้าหมายของการแปลได้สูงสุดในระดับไหน จากมุมมองของการสำรวจความคิดอย่างกว้าง ๆ การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นบทเกริ่นนำเท่านั้น
ยังมีประเด็นอีกสองประการที่ควรทำต่อไปข้างหน้า นั่นคือ สำหรับแต่ละวิธีการ ควรมีการวางกฎเกณฑ์ โดยคำนึงถึงประเภทของงานประพันธ์ที่แตกต่างกันไป และควรมีการเปรียบเทียบและประเมินค่าผลงานแปลที่ดีที่สุดที่ทำตามในแต่ละวิธีการ นี่จะทำให้เราสามารถหาความกระจ่างในเรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าขอฝากโครงการทั้งสองนี้ไว้ให้ผู้อื่นสานต่อ หรืออาจเก็บไว้ในโอกาสต่อไป
วิธีการแปลที่มีเป้าหมายต้องการให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ เช่นเดียวกับผู้แปลที่เป็นชาวเยอรมันได้รับจากการอ่านงานชิ้นนั้นในภาษาต้นฉบับ ต้องกำหนดให้แน่ชัดลงไปเสียก่อนว่า ความเข้าใจต่อภาษาต้นฉบับแบบไหนที่งานแปลต้องการเลียนแบบ เพราะมีความเข้าใจแบบหนึ่งที่ไม่ควรเลียนแบบ และมีความเข้าใจอีกแบบหนึ่งที่เลียนแบบไม่ได้
ความเข้าใจแบบที่ไม่ควรเลียนแบบคือ ความเข้าใจแบบเด็กนักเรียนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานให้เสร็จ ๆ อย่างติด ๆ ขัด ๆ จนเกือบจะน่าทุเรศและตัดต่อรายละเอียดต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างมักง่าย ทั้งไม่มีตรงส่วนไหนเลยที่แสดงถึงความเข้าใจชัดเจนต่อผลงานทั้งหมด ไม่มีความเข้าใจที่กระจ่างแจ่มชัดต่อบริบทของผลงานนั้น ตราบที่แวดวงของผู้มีการศึกษาในชนชาติหนึ่ง ยังขาดไร้ประสบการณ์ในการทำความเข้าใจภาษาต่างประเทศอย่างทะลุปรุโปร่ง กลุ่มคนที่ก้าวล้ำหน้ากว่าไม่ควรทำงานแปลแบบนี้เสียเลยจะดีกว่า เพราะถ้ายึดถือความเข้าใจของตัวเองเป็นไม้วัด ก็คงแทบหาคนเข้าใจไม่ได้และคงทำอะไรสัมฤทธิ์ผลได้น้อยเต็มที แต่ถ้าหากงานแปลของพวกเขาเป็นตัวแทนของความเข้าใจที่มีร่วมกัน ผลงานอันรุ่มร่ามนั้นย่อมเลือนหายไปจากเวทีอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาแบบนั้น การเลียนแบบอย่างอิสระจะช่วยปลุกและขัดเกลาความนิยมให้มีต่องานต่างด้าว และการถอดความอาจช่วยเตรียมความเข้าใจกว้าง ๆ เพื่อกรุยทางให้แก่การแปลในอนาคต…
ดังนั้น การแปลจึงหมายถึงสถานการณ์ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสองขั้ว และเป้าหมายของนักแปลคือ ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพพจน์และความพึงพอใจ เช่นเดียวกันกับการอ่านงานในภาษาต้นฉบับทำให้เกิดแก่คนที่มีการศึกษา ซึ่งเรามักจะเรียกว่านักอ่านหรือนักเลงหนังสือ สำหรับนักแปลประเภทนี้ เขามีความคุ้นเคยกับภาษาต่างชาติอยู่บ้าง แต่ภาษานั้นก็ยังเป็นภาษาต่างชาติอยู่ดี เขาไม่เหมือนนักเรียนที่ต้องนึกคิดทุกรายละเอียดเป็นภาษาของตัวเองเสียก่อนจึงจะเข้าใจความหมายทั้งหมด แต่เขายังสำนึกถึงความแตกต่างระหว่างภาษาต่างด้าวกับภาษาแม่ของตัวเองเสมอ แม้ในขณะที่หยั่งซึ้งถึงความงามของต้นฉบับก็ตาม
แน่นอน วิธีการและคำนิยามการแปลในลักษณะนี้คงไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเราอยู่ดี แม้ว่าเราจะยอมรับประเด็นเหล่านี้ก็ตาม เราเห็นแล้วว่า แนวโน้มของการแปลเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความสามารถในการใช้ภาษาต่างชาติแพร่หลายในแวดวงผู้มีการศึกษาในระดับหนึ่ง ศิลปะการแปลจะเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกัน และเป้าหมายจะตั้งสูงขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แต่นี่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรสนิยมและความรู้ในผลงานทางปัญญาของต่างชาติ แพร่หลายและเพิ่มขึ้นในหมู่ผู้มีการศึกษาที่คอยขัดเกลาและยกระดับการรับรู้ของตน แต่มิได้ถือว่าความรู้ทางภาษาเป็นกิจธุระของตนอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน เราไม่อาจละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า ยิ่งมีผู้อ่านตอบรับงานแปลมากเท่าไร การทำงานแปลก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราพิจารณาถึงผลงานทางด้านศิลปะและวิชาการที่โดดเด่นที่สุดของชนชาติหนึ่ง ซึ่งย่อมเป็นเป้าหมายสำคัญในการนำมาแปลของนักแปลอยู่แล้ว ในเมื่อภาษาเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เราจึงไม่มีทางเข้าใจความหมายของภาษานั้นอย่างเที่ยงตรง หากปราศจากการเข้าใจความหมายที่ฝังแนบแน่นกับประวัติศาสตร์ ภาษามิใช่สิ่งที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา แต่มันค่อย ๆ ถูกค้นพบ และการทำอะไรกับภาษาและในภาษาตามอำเภอใจเป็นสิ่งที่โง่เง่า งานวิชาการและศิลปะคือพลังสองประการที่ส่งเสริมและช่วยให้การค้นพบนี้ลุล่วง
คนที่มีจิตปราดเปรื่อง ซึ่งรับรู้ถึงลักษณะเฉพาะอันโดดเด่นของชนชาติตน ไม่ว่าโดยอาศัยศิลปะหรืองานวิชาการ และกลายเป็นผู้มีบทบาทในภาษาประจำชาติ ผลงานของเขาย่อมบรรจุไว้ด้วยประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของชนชาตินั้น ๆ นี่ย่อมสร้างความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงต่อนักแปลงานวิชาการ จนบ่อยครั้งที่ไม่อาจก้าวข้ามความยากลำบากนี้ไปได้
เพราะใครก็ตามที่มีความรู้เพียงพอ เมื่อได้อ่านผลงานอันยอดเยี่ยมประเภทนี้ในภาษาต้นฉบับ อิทธิพลที่มันมีต่อภาษาย่อมไม่คลาดจากสายตาเขา เขาย่อมสังเกตเห็นว่า ถ้อยคำไหน การผูกประโยคใด สำแดงให้เห็นความแปลกใหม่อันงดงามน่าทึ่ง เขาย่อมมองเห็นว่า ถ้อยคำและการผูกประโยคนั้นแทรกซึมเข้าไปในภาษาตามความต้องการพิเศษในจิตของผู้ประพันธ์ และพลังในการใช้ถ้อยคำของเขา การสังเกตนี้ย่อมกำหนดความประทับใจที่ผู้แปลได้รับ ดังนั้น มันจึงเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของการแปลที่ต้องสื่อสารความประทับใจนี้แก่ผู้อ่านให้ได้ มิฉะนั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดที่มุ่งหมายให้เกิดแก่ผู้อ่านย่อมตกหล่นหายสูญไป
แต่จะทำให้สำเร็จได้ด้วยวิธีการใด? กล่าวให้เฉพาะเจาะจงลงไปก็คือ มีบ่อยครั้งทีเดียวที่คำเก่า ๆ เชย ๆ ในภาษาของเรา เป็นคำเพียงคำเดียวที่สอดรับกับคำใหม่ในภาษาต้นฉบับ ดังนั้น หากนักแปลต้องการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของผลงานชิ้นนั้นว่า มีอิทธิพลต่อรูปแบบภาษาอย่างไร เขาก็ต้องนำเนื้อหาที่ผิดแผกออกไปอย่างสิ้นเชิงมาใส่ไว้แทน ซึ่งเท่ากับหาทางออกด้วยวิธีการเลียนแบบ! แม้ในจุดที่เขาสามารถใช้คำใหม่ต่อคำใหม่ คำที่มีนิรุกติศาสตร์แ