มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

ขจรฤทธิ์ รักษา พูดถึงนักเขียนคนโปรดและหนังสือที่ชอบ

 

 
      "จะว่าไปแล้วมีหนังสือมากมายที่อ่านแล้วจนต้องเก็บมาอ่านซ้ำ มีอยู่หลายเล่ม นักเขียนคนโปรดก็มีอยู่หลายคน เวลาชอบนักเขียนสักคนก็จะตามอ่านงานของเขาจนครบหมดทุกเล่ม ไม่ว่าจะเป็น นากิบ มาห์ฟูซ จอห์น กรีแซม ยาสุนาริ คาวาบาตะ มาริโอ พูโซ จอห์น สไตน์เบค หรือแม้แต่นักเขียนไทยอย่าง รงค์ วงษ์สวรรค์ วัฒน์ วรรลยางกูร จำลอง ฝั่งชลจิตร วิมล ไทรนิ่มนวล และประชาคม ลุนาชัย เป็นต้น ผมอ่านด้วยความชื่นชมและนับถือในฝีมือของเขา 
 
      ส่วนหนังสือเล่มโปรดที่ผมคัดออกมานี้ อ่านไม่น้อยกว่าสามรอบ ผมชอบทั้งวิธีเขียน เนื้อหาและตัวละครทุกตัว รู้สึกเหมือนเอาชีวิตเราบางส่วนไปเขียน บางทีก็ประหลาดใจว่าทำไมนักเขียนเขาถึงได้รู้ถึงความทุกข์ความสุขอันเกิดมาจากความรักความใคร่ของมนุษย์ได้ถึงขนาดนี้ 
 
      เล่มแรก รันทดและงดงาม เขียนโดย ยาสุนาริ คาวาบาตะ แปลโดยยุพเรศ วินัยร พิมพ์โดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ ผมชอบคาวาบาตะเป็นที่สุด วิธีการเขียนก็เล่าเรื่องไปเอื่อย ๆเล่าถึงชีวิต เล่าถึงการเดินทาง และเล่าถึงความขัดแย้ง ส่วนใหญ่เท่าที่จับได้ก็คือปมรักต่างวัย เช่นคนแก่รักกับเด็กสาวคราวลูก พ่อผัวกับลูกสะใภ้ คนมีครอบครัวรักกับนักศึกษา เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก็ต้องเกิดความทุกข์เพราะโลกนี้ถูกจารีตบัญญัติไว้แน่นอนมั่นคงว่า คุณจะทำอย่างนั้นไม่ได้ มีครอบครัวแล้วจะรักคนอื่นอีกไม่ได้ แต่ความรักมันห้ามไม่ได้ รักมันอยู่ภายใน แสดงออกหรือไม่ก็ตามมันก็ต้องรักอยู่วันยังค่ำ คาวาบาตะเขามีความโดดเด่นในการสะท้อนชีวิตเหล่านี้ ผมไม่แน่ใจว่าชีวิตเขาเป็นอย่างที่เขียนหรือเปล่า แต่รู้ว่าหลังจากที่เขาได้รับรางวัลโนเบล ไม่กี่ปีต่อมาเขาฆ่าตัวตาย 
 
      เล่มต่อมาคือ คนสองโลก เขียนโดยเคนซาบุโระ โอเอะ แปลโดย ดวง ประทีป พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทานตะวัน หนังสือเล่มนี้เพิ่งได้รับการแปลใหม่ชื่อรอยชีวิต โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์โอเอะอายุ 68 ปี เป็นนักเขียนรางวัลโนเบลของญี่ปุ่นที่ยังคงเขียนหนังสืออย่างสม่ำเสมอ ในประเทศไทยมีงานแปลของโอเอะแค่สองเล่ม อีกเล่มเป็นการเขียนถึงประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกออทิสติกชื่อ บ้านสมานใจ พิมพ์โดยมูลนิธิโกมล เรื่องคนสองโลก โอเอะเขียนถึงเบิร์ดชายหนุ่มที่มีความสบสนว่าจะเอาอย่างไรดี ระหว่างการเดินทางไปแอฟริกาแล้วทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลัง ฉากแรกเปิดเรื่องขึ้นตอนที่เมียเขาไปนอนรอคลอดอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อเมียคลอดลูกชาย เขารู้ว่าลูกมีอาการผิดปกติ เขาก็ยิ่งติดหนักว่าจะหนีไปให้พ้นดีหรือไม่ เขาไปคบหากับอดีตคู่รัก เธอก็พยายามชักจูงให้หนีไปด้วยกัน แต่ในตอนจบของเรื่องเบิร์ดตัดสินใจอยู่กับครอบครัว ว่าไปแล้วการผูกเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จุดเด่นของโอเอะที่ส่งผลให้เขาเป็นที่ยอมรับทั่วโลกคือการสะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงออกมา และที่สำคัญเรื่องนี้เขานำเอามาจากประสบการณ์จริง ก่อนเขียนเขาได้ขออนุญาตเมียแล้ว ส่วนเรื่องคู่รักเก่าที่ไปหลับนอนปรึกษาหารือเรื่องจะหนีเมียนั้นก็เป็นความจริงอีก เขาแค่อาศัยศิลปะในการเล่าเรื่องและวิธีเขียนเท่านั้นมาช่วยให้นิยายเล่มนี้น่าอ่านขึ้น หนังสือเล่มนี้ยังคงมีวางจำหน่ายอยู่ตามร้านหนังสือทั่วไป ผมอยากแนะนำให้ทุกคนอ่านครับ 
 
      ขุนเขาแห่งจิตวิญญาณ เขียนโดยเกาสิงเจี้ยน แปลโดย รำพรรณ รักศรีอักษร พิมพ์โดย สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ตอนที่มีข่าวว่าหนังสือเล่มนี้จะมีการพิมพ์เผยแพร่ในเมืองไทย ผมตื่นเต้นและเผ้ารอด้วยใจจดใจจ่อ เพื่อนคนหนึ่งไปซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาให้ แต่ผมก็ไม่เก่งพอที่จะอ่านได้ ผมจึงรอว่าเมื่อไรจะวางแผง สุดท้าย เมื่อมีนาคม 2545 หนังสือก็เสร็จเป็นเล่มสวยงาม ผมซื้อมาแล้วก็อ่านทันที เมื่ออ่านจบครั้งแรกผมก็ไม่นึกว่าเกาสิงเจี้ยนจะเขียนได้ดีขนาดนี้ บางคนพูดกันว่าเขาได้รับรางวัลโนเบลก็เพราะเรื่องการเมือง โลกตะวันตกไม่ชอบใจจีน จึงแกล้งให้รางวัลเกาสิงเจี้ยนในฐานะที่เขาไม่ถูกกับทางการจนต้องหนีไปอยู่ในฝรั่งเศส ผมเองก็ชักจะคล้อยตาม แต่เมื่ออ่านนิยายเล่มนี้ของเขา ผมคิดว่ารางวัลทางวรรณกรรมใดๆ ก็แล้วแต่ที่สำคัญ ๆของโลก ถ้าให้เขาได้ก็ควรจะให้ เขาเป็นนักเขียนที่เข้าถึงจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ถ่องแท้ เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจประวัติศาสตร์ และรู้เรื่องความเป็นมาของชาติจีนได้อย่างชนิดที่ไม่น่าเชื่อ 
 
      นิยายของเขามีตัวละครหลักอยู่ไม่กี่ตัวเช่น ผม, เขา, คุณ และเธอ เขาเล่าเรื่องโดยผ่านสายตาของตัวละครเหล่านี้ ไม่ว่าผม, เขา, คุณ, หรือเธอเดินทางผ่านไปทางไหนก็แล้วแต่จะต้องมีเรื่องราวของตำนาน ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ ของผู้คนแถวนั้น ตัวละครทั้งหลายเร่ร่อนไปเรื่อย เป้าหมายก็คือจะขึ้นไปเที่ยวบนภูเขาหลิงซาน แต่ท่องไปเท่าไรก็ไม่เจอ เจอแต่เรื่องราวของผู้คนและธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของประเทศจีน อย่างเช่นตอนที่เขาขึ้นไปสถานีวิจัยหมีแพนด้า เขาได้เห็นหมีตัวหนึ่งออกมาขออาหารในตอนค่ำ วันรุ่งขึ้นเขาเดินตามนักวิจัยขึ้นไปบนเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก เขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียที่นั่น สำหรับคนที่ชอบฉากโรแมนติก เกาสิงเจี้ยนก็เขียนได้อย่างละเมียดละไม ตอนที่เธอกับเขาขึ้นไปนอนอยู่บนกระท่อมกลางป่าของหญิงชราคนหนึ่งซึ่งทั้งคู่คิดว่าเป็นหมอผี ครั้งแรกนอนกันคนละห้อง ต่อมาด้วยความกลัวผีหรือเกิดความเหงาขึ้นมา ทั้งคู่เลยต้องนอนห้องเดียวกัน บทรักที่เกาสิงเจี้ยนเขียนนั้นนวลเนียนเป็นธรรมชาติมาก 
 
      ผมอ่านหนังสือเล่มนี้สามรอบ อ่านทีไรก็ได้ความคิดใหม่ๆ เป็นความคิดใหม่ๆที่เกี่ยวกับจีน กับธรรมชาติ กับความรักและกับอาชีพ ว่าไปแล้วหนังสือเล่มนี้ก็คืออัตชีวะประวัติส่วนหนึ่งของผู้ 
 
      ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต เขียนโดย มิลาน คุนเดอรา แปลโดยภัควดี วีระภาสพงษ์ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์คบไฟ งานของมิลาน คุนเดอรานี่ผมก็อ่านทุกเล่ม ตั้งแต่อมตะและรักชวนหัวที่แพรวสำนักพิมพ์เสนอออกมาก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องแม่ของสำนักพิมพ์กล้วยไม้ แต่ก็ไม่ค่อยชอบมากนัก สาเหตุก็เพราะรู้สึกว่าคุนเดอราเขาเล่นกับผู้อ่านมากไป เขาเขียนนิยายแล้วบางครั้งก็ทำตัวเป็นนักวิเคราะห์ไปพร้อมกัน วิเคราะห์นิสัยใจคอของตัวละครที่ตัวเองสร้างขึ้นมา คุณลองคิดดูว่า เราจะอ่านด้วยความรู้สึกชนิดไหน แต่อย่างไรก็ตามนั่นคือเอกลักษณ์ของเขา ว่าไปแล้วผมออกจะหมั่นไส้เขาด้วยซ้ำไป แต่กระทั่งผมอ่านความเบาหวิวเหลือทนของชีวิตอีกรอบหนึ่ง ผมจับได้อย่างหนึ่งว่า เขาก็เป็นนักเขียนระดับโลกอีกคนที่มีปัญหาเรื่องความรักความใคร่เช่นเดียวกับนักเขียนญี่ปุ่นทั้งสองคนที่ผมเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต ว่าด้วยเรื่องโทมัส นายแพทย์หนุ่มที่เจ้าชู้จนเรียกได้ว่าเป็นคนสำส่อนทางเพศ เทริซ่าอดีตพนักงานเสิร์ฟที่ผันตัวเองมาเป็นช่างภาพและเป็นเมียของโทมัส ซาบินาจิตรกรชู้รักคนโปรดของโทมัส หนังสือเล่มนี้ผูกโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนของตัวละครทั้งสาม สำหรับคนที่อยากอ่านเรื่องแปลกๆ วิธีเขียนใหม่ๆ น่าจะลองหามาอ่านดู 
 
      5 รักแสร้งแรงเสน่หา เขียนโดย จุนนิชิโร ทานิซากิ แปลโดย วรวดี วงศ์สง่า พิมพ์โดยสำนักพิมพ์บ้านหนังสือ ประวัติของทานิซากินั้นน่าสนใจในแง่ว่า เขาเป็นนักเขียนที่ดังระดับตำนานของญี่ปุ่น ผลงานของทานิซา กิ มีไม่มากนัก แต่ละเรื่องจะนำเสนอเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ปัญหาที่เขานำมาเขียน เช่น ปัญหารักร่วมเพศ ปัญหารักต่างวัย ปัญหารักของคนในครอบครัว ปัญหารักสามเส้า ทุก ๆ ปัญหาเหล่านี้ ในฐานะนักเขียนผมสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะผมเชื่อว่าชีวิตจริงของผู้คนนั้น หน้าฉากไม่มีทางเหมือนกับหลังฉาก ที่ว่าหน้าฉาก สวยๆ นั้นหลังฉากกลับดูไม่ได้เลยก็มี ผมเองก็ชอบเขียนถึงสิ่งเหล่านี้ เมื่อได้มาเจอนิยายของทานิซากิเล่มแรกคือเดอะคีย์ที่คุณสุจินดาแปลมาให้ ผมอ่านแล้วก็ตัดสินใจพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม ซึ่งได้รับการพูดถึงพอสมควร จากนั้นผมก็ไปหาหนังสือของทานิซากิมาอีก 6 เล่ม จากร้านเอเชียบุ๊ค นำมาให้นักแปลสามท่านช่วยกันแปล ที่ออกมาเป็นเล่มแล้วก็คือบันทึกของชายเฒ่า แปลโดยคุณสุดาพร, รักไม่เต็มร้อย แปลโดยคุณแคน สังคีต และเล่มนี้ รักแสร้งแรงเสน่หา ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนังสือเล่มโปรดอีกเล่มหนึ่งของผม เนื้อหาว่าด้วยชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแต่งงานแล้ว แต่เธอก็ไปมีความสัมพันธ์ฉันเลสเบี้ยนกับเด็กสาวอีกคน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็หลงรักกันมาก เธอหลอกสามีว่าคบกับเด็กสาวในฐานะน้องรัก เด็กสาวก็ไปหลอกลวงพ่อแม่ว่ารักเธอเหมือนพี่สาว ต่อมาเธอจับได้ว่าเด็กสาวมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มรุ่นเดียวกัน เธอเกิดความหึงหวงจนต้องทะเลาะกัน เด็กสาวก็ยืนกรานว่าเป็นแค่รักหลอกๆ เธอเองก็หึงที่พี่สาวไปนอนกับสามี จนกระทั่ง เด็กสาวมาหลงรักสามีของเธอ ทิ้งชายหนุ่มคนนั้นไว้เบื้องหลัง ทั้งคู่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทิ้งเธอไว้ให้อยู่กับคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ว่า แท้จริงแล้วใครรักใครจริง ใครหลอกใคร ทานิซากิก็เหมือนนักเขียนญี่ปุ่นรุ่นเก่า เขาเขียนเรื่องได้ละเมียด ดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ แต่ก็ปลุกเร้าความอยากรู้อยากเห็นของผู้อ่านให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ผมอ่านนิยายเล่มนี้ตั้งแต่ยังเป็นต้นฉบับ จนกระทั่งขั้นตอนพิสูจน์อักษรสองครั้ง อ่านอีกรอบหลังจากที่หนังสือเสร็จเป็นเล่ม ยิ่งอ่านยิ่งชื่นชมครับ" 
 
      เมื่อคุณขจรฤทธิ์ รักษา นักเขียนและคนทำหนังสือคนสำคัญของบ้านเราหนึ่ง ได้พูดถึงนักเขียนคนโปรดและเรื่องที่ชอบแล้ว ก็ใคร่รู้สึกว่าอยากอ่านเหลือล้นทีเดียวเพราะทั้งเนื้อหา และวิธีการนำเสนอของนักเขียนแต่ละท่านล้วนมีความน่าสนใจ อีกทั้งในตัวนักเขียนเองก็มีชีวิตที่น่าติดตาม เพราะเรื่องราวของชีวิตมนุษย์ทุกผู้ต่างก็มีเบื้องลึกด้วยกันทั้งสิ้น…