Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

 

 
คัดมาแบ่งปันและเผยแพร่บางตอนจากหนังสือกาลานุกรม ของ พระพรมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 อาสาฬบูชา พ.ศ. 2552 
 
ธรรมทาน-ให้เปล่า For free distribution only 
 
กรีกเข้าแดนชมพูทวีป 
 
336-323 BC (ฝรั่งนับ=พ.ศ. 147-160; ไทยนับ=พ.ศ. 207-220) พระเจ้า อเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) กษัตริย์กรีกแห่งมาซิโดเนีย ศิษย์ของอริสโตเติลเรืองอำนาจ ปราบอียิปต์จนถึงเปอร์เซียได้สิ้น 
 
และในช่วง พ.ศ. 156-8 ได้ยกทัพผ่านแคว้นโยนก (บากเตรีย/Bactria) เข้าคัน ธาระ มาตั้งที่ตักสิลา เตรียมยกเข้าตีมคธของราชวงศ์นันทะ และได้พบกับเจ้าจันทรคุปต์ แต่แล้วเลิกล้มความคิด ยกทัพกลับไป 
 
มหากาพย์ มหาภารตะ 
 
400 BC (ในช่วงเวลาแต่นี้ ถึงราว ค.ศ. 400 คือช่วง พ.ศ. 150-950 ซึ่งไม่อาจชี้ชัด) ฤาษีวยาสได้แต่งมหากาพย์สันสกฤตเรื่องมหาภารตะ อันเป็นกวีนิพนธ์ที่ยาวที่สุดในโลก (คงเรื่องเดิมที่เป็นแกนแล้วแต่งเพิ่มกันต่อมา) ว่าด้วยสงครามใหญ่เมื่อราว 1,000-400 ปี ก่อนพุทธกาล อันเกิดขึ้นในวงศ์กษัตริย์ ระหว่างโอรสของเจ้าพี่เจ้าน้อง คือเหล่าโอรสของปาณฑุ (เรียกว่า ปาณฑพ) กับเหล่าโอรสของธฤตราษฏร์ (เรียกว่า เการพ) ซึ่งรบกันที่ทุ่งกุรุเกษตร (เหนือเดลีปัจจุบัน) จนฝ่ายเการพสิ้นชีพทั้งหมด ยุธิษฐิระพี่ใหญ่ฝ่ายปาณฑพขึ้นครองราชย์ที่หัสตินาปุระ และมีเรื่องติอไปจนเสด็จสู่สวรรค์ 
 
ภควัทคีตา ซึ่งเป็นคัมภีร์ปรัชญาสำคัญยวดยิ่งของฮินดู ก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในเรื่องนี้ โดยเป็นบทสนทนาระหว่างกฤษณะ กับเจ้าชายอรชุน 
 
 
รามเกียรติ์ : พระราม-นางสีดา 
 
300 BC (ไม่กอ่นนี้; ราว พ.ศ. 250) ฤาษีวาลมีกิ แต่งมหากาพย์สันสกฤตเรื่องรามายณะ(รามเกียรติ์) ว่าด้วยเรื่องพระราม-นางสีดา แห่งอโยธยา (ในพุทธกาล= เมืองสาเกต) 
 
ในพระพุทธศาสนา คัมภีร์ชั้นอรรถกถาและฎีกา กล่าวถึงเรื่องมหาภารตะ และรามายณะบ่อยๆ โดยยกเป็นตัวอย่างของเรื่องเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์(นิรัตถกถา) จัดเป็นสัมผัปปลาปะบ้าง ติรัจฉานกถาบ้าง เว้นแต่ยกเป็นข้อพิจารณาทางธรรม(ในอรรถกถา มักเรียกว่า ภารตยุทธ และสีตาหรณะ มีบางแห่งเรียกว่า ภารตะ และรามายณะ ในฎีกาเรียกว่า ภารตปุราณะ และรามปุราณะ บ้างก็มี) 
 
 
สังคายนาครั้งที่ 3 และส่งศาสนทูต 
 
พ.ศ. 235 มีสังคายนา ครั้งที่ 3 ปรารภการที่มีเดียรถีย์มากมายปลอมบวชเข้ามา เนื่องจากเกิดลาภสักการะในหมู่สงฆ์อุดมสมบูรณ์ พระอรหันต์ 1,000 รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระเป็นประธาน ประชุมทำที่อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงอุปถัมภ์ ใช้เวลา 9 เดือน 
 
หลังสังคายนาแล้ว มีการจัดส่งศาสนทูต 9 สาย ไปประกาศพระศาสนา (แต่ละแห่งมีพระภิกษุร่วมคณะพอครบสงฆ์ที่จะให้อุปสมบท) คือ 
 
1. พระมัชฌัชติกะ ไป กัสมีร-คันธารรัฐ 2. พระมหาเทวะ ไป มหิงสกมณฑล 3. พระรักขิตะ ไป วนวาสี (รัฐ) 4. พระโยนกธรรมรักขิต ไป อปรันตกะ (รัฐ) 5. พระมหาธรรมรักขิต ไป มหารัฐ 6. พระมหารักขิต ไป โยนกรัฐ 7. พระมัชฌิมะ ไป เทศภาคแห่งหิมวันต์ 8. พระโสณะและอุตตระ ไป สุวรรณภูมิ 9. พระมหินทะ ไป ตัมพปัณณิทวีป (ลังกา) 
 
9 สาย มีไทยและจีน ด้วย? 
 
(สารัตถทีปนี ว่า มหิงสกมณฑล = อันธกรัฐ; สาสนวงส์ ว่าเทศภาคแห่งหิมวันต์ = จีนรัฐ คือประเทศจีน; สุวรรณภูมิ = สุธรรมนคร คือเมืองสะเทิมในพม่า บางมติว่า= หริภุญชรัฐ บางมติว่า=สิยามรัฐ; อปรันตรัฐ คง = สุนาปรันตรัฐ; มหารัฐ บางมติว่า= สิยามรัฐ) 
 
กำเนิดศาสนาคริสต์ 
 
8-4 BC (ตามฝรั่ง=พ.ศ. 475-479) นับแบบเรา=พ.ศ. 535-539) ช่วงเวลาที่สันนิษฐานว่าพระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮม (Bethlehem) ทางใต้ของเยรูซาเล็มใน อิสราเอล 
 
พระเยซูเป็นชาวยิว เป็นบุตรของแม่นางพรหมจารีแมรี ภรรยาโจเซฟ ช่างไม้แห่งเมืองนาซาเรธ 
 
นาม "เยซู" คือ Jesus เป็นคำกรีก ตรงกับคำยิวเป็นภาษาฮิบรู Joshua ส่วน "คริสต์" คือ Chirst (ไครสต์) ก็เป็นคำกรีก ตรงกับภาษาฮิบรูว่า Messiah แปลว่า "(ผู้ได้รับการ) เจิมแล้ว" 
 
 
เมื่ออายุประมาณ 30 ปี หลังได้รับศีลจุ่ม (Baptism) จาก John the Baptist แล้ว พระเยซูได้เริ่มเผยแพร่คำสอนที่เป็นฐานให้เกิดศาสนาคริสต์ (ส่วนมากสอนที่กาลิลี/Galilee ซึ่งอยู่ส่วนเหนือสุดของปาเลสไตน์ เมืองนาซาเรธ/Nazareth ที่พระเยซูเติบโตก็อยู่ในเขตกาลิลีนี้) โดยมีสาวกที่ท่านเลือกไว้ 12 คน (12 Apostles มี Saint Peter เป็นหัวหน้า) 
 
แต่เมื่อพระเยซูสอนในปีที่ 3 พวกนักบวชยิวเป็นต้น ซึ่งไม่พอใจการสอนของท่าน ร่วมด้วยสาวกคนหนึ่งของท่านที่ทรยศ ได้สมคบกันจับตัวท่านให้เจ้าหน้าที่ยิวสอบสวนฐานปลุกปั่นประชาชน แล้วส่งแก่โรมันผู้ปกครอง 
 
ค.ศ. 25 หรือ 29 (=เรานับ พ.ศ. 568 หรือ 572) พระเยซูถูกโรมัน ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่นั่น สั่งลงโทษตามความประสงค์ของพวกยิว ให้ประหารชีวิตด้วยการตรึงไม้กางเขน ฐานอวดอ้างเท็จว่าเป็นพระผู้มาโปรด (messianic pretender) 
 
ชาวคริสต์ถือว่าการสิ้นชีพของพระเยซูเพราะถูกตรึงไม้กางเขนนี้ เป็นการ ไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์ กับทั้งถือว่าพระเยซูได้ฟื้นคืนชีพ (Resurrection) และหลังจากนั้น 40 วัน ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ 
 
หลังจากนั้น ปอล หรือ เปาโล (บางทีเรียกเป็นภาษาฮิบรูว่า Saul; ได้เป็น Saint Paul) เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ศาสนาเผยแพร่ไปอย่างกว้างขสางในดินแดนกรีก-โรมัน 
 
ที่แดนอาหรับ กำเนิดอิสลาม 
 
พ.ศ. 1165 (ค.ศ. 622) ในดินแดนที่เป็นประเทศซาอุดีอาระเบียปัจจุบัน หรือเรียกง่ายๆว่าอาหรับ ท่านนบีมุฮัมมัด ได้เริ่มประกาศศาสนาอิสลามที่เมืองมักกะฮ์ ตั้งแต่อายุ 40 ปี แต่มีความขัดแย้งกับคนที่มีความเชื่ออย่างเก่า โดยเฉพาะพวกพ่อค้าโลภ จนในที่สุกราวปที่ 13 ตรงกับ พ.ศ. 1165 ได้นำสาวกหนีออกจากมักกะฮ์ ถือเป็นเริ่มฮิจเราะห์ศักราชของศาสนาอิสลาม แล้วไปตั้งถิ่นประกาศศาสนาที่เมืองมะดีนะฮ์ (Medina เดิมชื่อเมืองยาธริบ) 
 
ท่านนบีมีภาระมากในการต่อสู้กับพวกเมืองมักกะฮ์ และรบกับกองคาราวานเพื่อตัดกำลังพวกมักกะฮ์ พร้อมทั้งปราบศัตรูในมะดีนะฮ์ ตลอดจนจัดการกับพวกยิวที่เข้ากับศัตรู 
 
พวกยิวสำคัญโคตรท้ายนั้น เมื่อท่านรบชนะแล้วได้ให้ประหารชีวิตผู้ชายทั้งสิ้น ส่วนสตรีและเด็กก็ให้ขายเป็นทาสหมดไปจากมะดีนะฮ์ 
 
พ.ศ. 1173 (ค.ศ. 630) ท่านนบีมุฮัมมัดจัดการทั้งปวงที่มะดีนะฮ์ เวลาผ่านไป 8 หรือ 10 ปี เมื่อพร้อมแล้ว ท่านจึงนำกำลังคน 10,000 ยกไปมักกะฮ์ในเดือนมกราคม พวกมักกะฮ์ออกมายอมสยบโดยดี ท่านนบีมุฮัมมัดก็สัญญาจะนิรโทษให้ ในการเข้าเมืองมักกะฮ์ครั้งนี้พวกศัตรูตายเพียง 28 คน และมุสลิมตายเพียง 2 คน 
 
ท่านนบีมุฮัมมัดจัดการปกครองในมักกะฮ์ให้เรียบร้อย และทำลายรูปเคารพที่มหาวิหารกาบะฮ์จนเสร็จสรรพ แล้วเผยแพร่อิสลามต่อมา และจัดการกับชนเผ่าที่ยังเป็นปฏิปักษ์ จนรวมอาระเบียได้ในเวลา 2 ปี เริ่มจะขยายเข้าสู่ซีเรียและอิรัก 
 
พ.ศ. 1175 ท่านนบีมุฮัมมัดอายุได้ 63 หรือ 65 ปี จึงเสด็จสู่สวรรค์ โดยชาวมุสลิมถือว่าท่านขึ้นสู่สวรรค์ที่เมืองเยรูซาเล็ม 
 
ในด้านทายาท หลังจากภรรยาคนแรกสิ้นชีวิตเมื่อท่านอายุ 50 ปีแล้ว ท่านนบีมีภรรยาอีก 8 คน แต่บุตรของท่านซึ่งมีอย่างน้อย 2 คน เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนธิดาซึ่งมีหลายคน ยังมีชีวิตอยู่จนถึงเมื่อท่านสู่สวรรค์เพียงคนเดียว คือฟาติมะฮ์ ซึ่งได้ได้สมรสกับอาลี ผู้ป็นญาติใกล้ชิดของท่านนบี 
 
วาระนั้นได้เกิดความขัดแย้งกันว่าผู้ใดจะสืบทอดสถานะผู้นำ ประดาสาวก ผู้ใกล้ชิดได้เลือกอาบูบะกะร์ อายุ 59 ปี ซึ่งมีธิดาเป็นภรรยาคนที่หนึ่งของท่านนบี ขึ้นเป็นผู้ปกครองของอิสลามสืบต่อมา โดยมีตำแหน่งเป็นกาหลิฟ (แปลว่า "ผู้สืบต่อ") และมีมะดีนะฮ์เป็นที่ว่าการ 
 
ส่วนอีกฝ่ายหนีงจะให้อาลีบุตรเขยของท่านนบีเป็นผู้สืบต่อ แต่ไม่สำเร็จ 
 
เนื่องจากกาหลิฟที่ 1-2-3 ล้วนเก่งกล้า ดินแดนของกาหลิฟและอิสลาม จึงแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว 
 
 
พระพรมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน ต. บางกระทึก อ. สามพราน จ.นครปฐม 
คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม 
วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11520 
มติชนสุดสัปดาห์