การเดินทางผันผ่านความโกลาหล : ความเป็นมาของแซมูเอล เบคเกตต์ Samuel Beckett

มันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดที่ใครต่อใครไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเอง กลับยิ่งเจ็บปวดหนักยิ่งขึ้นหากว่าใครคนนั้นพยายามจะเป็นตัวของตัวเอง และแล้วเมื่อใครคนนั้นก็คือคนที่รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่ช่างด้อยค่ายิ่งนัก เมื่อใครคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นหากแต่ก็คือคนเก่าคนแก่ซึ่งเปลี่ยนแปลงอะไรมิได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินไปด้วยนามแห่งความรักล้วนแล้วแต่ถูกขับไล่ไสส่งในทันทีทันใดมีสภาพเหมือนเช่นโปสการ์ดจากดิน แดนบ้านเกิด
จาก…รักแรก (First Love) – 1946
—
รีวิวหนังสือของเบคเกตต์ส่วนมากมักจะยกย่องว่าผลงานเขียนของเขามีความ หมายและมีเนื้อหาสาระเข้มข้นสมกับฝีมือสร้างสรรค์ของนักประพันธ์แห่งศตวรรษที่ 20 ท่ามกลางคำสรรเสริญชมเชยถึงความยิ่งใหญ่สารพัดสารพัน หนึ่งในสมญาที่แอนโทนี่ โครนิน(Anthony Cronin) ผู้เขียนชีวประวัติของเขาในปี 1997 ได้ให้ไว้คือ โมเดิร์นนิสต์คนสุดท้าย (The Last Modernist)
ความว่างเปล่าโหว่งเหว่งของพลอต บทพรรณนา ฉาก และบุคลิกตัวละครทั้ง หลายทั้งปวงจากผลงานเขียนทำให้เบคเกตต์ถูกกล่าวถึงในฐานะของผู้เข่นฆ่ารูปแบบของนิยาย ในบทนำนิยายยุคหลังของเบคเกตต์ซึ่งออกมาเนื่องในวาระครบร้อยปี ซัลแมน รัชดี (Salman Rushdie) เขียนเอาไว้ว่า สาระซึ่งผลงานเขียนชิ้นนี้เปิดเผยให้เห็นคือความตาย และในความเป็นจริงนี่ก็คือหนังสือที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของชีวิต ดูเหมือน ว่านักเขียนผู้เลือกจะเร้นกายในหลืบเงาทึมทึบของเราจะเป็นที่ถูกตาต้องต้องใจของใครต่อใครไม่มีเว้น
หลังจากความสำเร็จอย่างท่วมท้นของ Waiting for Godot ในยุค’ 50 เบคเกตต์ถูกเลื่อนฐานะเขยิบขึ้นมาจนเปรียบดังรูปเคารพ แม้ว่าเขาจะเล็กหากแต่ก็มีบทบาทสำ คัญยิ่งในแวดวงวรรณกรรมต่อต้านของฝรั่งเศส และได้รับการยกย่องเสมือนหนึ่งนักบุญของผู้นิยมลัทธิอัตถิภาวนิยม(Existentialist) อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเกียรติยศชื่อ เสียงของเขาจะกระเดื่องดังจนล้ำหน้าจำนวนผู้คนที่ได้อ่านผลงานของเขาอย่างจริงจัง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายทีเดียว เพราะนิยายของเบคเกตต์ก็ไม่ผิดไปจากหัวใจหลักของความสำเร็จของตัวเขานั่นเอง
ฉากแรกในชีวิตของเบคเกตต์เริ่มจากอาการปอดบวมของวิลเลียม (บิลล์) เบคเกตต์ จูเนียร์ (William Bill Backett Jr ) กำเริบขึ้นจนทำให้ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล อเดลเลด กรุงดับลินระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษ เขาอยู่ในการดูแลของพยาบาลผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งมาเรีย (เมย์)โรว์(Maria May Roe) หลังจากนั้นไม่นานเท่าใดนักพวกเขาทั้งสองก็เข้าสู่พิธีสมรสแบบโปรเตสแตนต์ในปี 1901 หลังจากนั้นอีกสี่ปีต่อมาแฟรงก์และแซม(Frank & Sam) บุตรชายสองคนก็คลอดตามกันมา
สำหรับวันเกิดของแซมูเอล บาเคลย์ เบคเกตต์(Samuel Barclay Beckett) มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเอ่ยปากถามกับใคร สำหรับตัวของเบคเกตต์เองมักจะอ้างถึงมันอย่างผิดแผกแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหลักฐานทางกฎหมาย นั่นคือวันที่ 3 เมษายน 1906 ในฟ็อกซ์ร็อก ทางตอนใต้ของกรุงดับลิน อย่างไรก็ตามเบคเกตต์มักจะเอ่ยอ้างถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังอยู่ในมดลูกของแม่ว่าช่างปราศจากความผาสุกมีก็แต่อาการเหนื่อยหอบอยู่บ่อยครั้งในผลงานตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นยังรวมไปถึงน้ำเสียงและบุคลิกตัวละครต่างๆนาๆที่ปรากฏกับงานเขียนอีกหลายหลากประเภท และเมื่อต้องการจะสาธ ยายถึงบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของแซมคงจะไม่ผิดไปจากนี้
หากจะพูดถึงเกมกลางแจ้งแล้ว ดูมันจะเหมาะเจาะกับตัวเขามากกว่าการละเล่นในร่ม เขาสนุกสนานและทำมันได้ดีทีเดียว เขามักจะเตร็ดเตร่ออกไปเที่ยวเล่นกับญาติพี่โต และก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไปในหมู่พี่น้องถึงอาการขี้หงุดหงิด เงียบขรึมที่มักจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตามเขานับได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มชนชั้นกลางโปรเตสสแตนต์ที่มีเรือนร่างกำยำสมเป็นนักกีฬา หากยังพรั่งพร้อมด้วยกิริยามารยาทในการเข้าสังคม
พูดอย่างสั้นๆ ก็คือเบคเกตต์รับเอามรดกความเป็นนักกีฬามาจากพ่อ และอาการคลั่งไคล้ในการเดินเล่นเป็นระยะทางไกลๆจากความสามารถในการเล่นเปียโนของแม่
เบคเกตต์เข้าศึกษาภาษาฝรั่งเศสและอิตาเลียนในระดับปริญญาตรีจากทรินีตี้ คอลเลจ กรุงดับลิน ในระหว่างปี 1923 – 27 ภายใต้การสอนสั่งจากอาจารย์ผู้ทรงอิทธิ พลอย่างโทมัส รัดมอส – บราวน์(Thomas Rudmose – Brown) และเบียนก้า เอสโพซิโต้(Bianca Esposito) เขาซึมซาบเอาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทางภาษาและบทกวีโรแมนติกจนเกิดความหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ระหว่างที่พักผ่อนหลังจากสำเร็จการศึก ษาที่ปารีส ทอม แมคกรีวี่(Tom MacGreevy) เพื่อนกวีได้แนะนำเบคเกตต์ให้รู้จักกับเจมส์ จอยซ์ (James Joyce) ซึ่งในเวลานั้นกำลังมีชื่อเสียงสุดๆกับนิยายที่มีชื่อว่า A Portrait of Artist as a Young Man และ Ulysses ซึ่งตัวเบคเกตต์เองก็คลั่งไคล้ใหลหลงอยู่ไม่น้อย ในช่วงเวลานั้นนับได้ว่าจอยซ์ส่งอิทธิพลต่อหนุ่มไอริชของเราเป็นอันมาก ทั้งสองเข้ากันได้ดีภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ทั้งนั้นใครต่อใครต่างก็ให้ความเห็นว่าเป็นเพราะทั้งคู่มีอะไรๆหลายต่อหลายอย่างคล้ายคลึงกันเป็นทุนเดิมอยู่นั่นเอง
พวกเขาต่างก็จบการศึกษาทางด้านภาษาฝรั่งเศสและอิตาเลียนเหมือนๆกัน แม้จะจบจากคนละมหาวิทยาลัยในกรุงดับลิน เพราะจอยซ์เชี่ยวชาญด้านนิรุกติศาสตร์และช่ำชองงานเขียนหลายหลากในภาษาอิตาเลี่ยน เยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษจึงทำให้นักภาษาศาสตร์ระดับรางวัลอย่างเบคเกตต์ประทับใจ ต่างฝ่ายต่างก็แบ่งปันความลุ่มหลงในกวีคลาสสิกอย่างดังเต้เหมือนๆกัน ทั้งสุ้มเสียง จังหวะ รูปแบบ นิรุกติศาสตร์ และประ วัติศาสตร์ล้วนแล้วแต่ทำให้พวกเขาลุ่มหลงคลั่งไคล้ ไวยากรณ์อันแสนจะยากเข็ญของจอยซ์ดัดแปลงมาจากภาษาอื่นๆสารพัดสารพัน ตลอดจนความสนอกสนใจอย่างหัวปักหัวปำในภาษาสแลงก์หลายหลาก นั่นเป็นสิ่งที่ตัวเบคเกตต์เองทั้งคลั่งไคล้และต้องการจะเอาอย่าง
นอกเหนือจากฐานะเพื่อนสนิทชิดเชื้อ เบคเกตต์ยังเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของขาจอยซ์อีกสองทาง ทางแรก เขากลับกลายเป็นคนคุ้นเคยในแวดวงความคิดสร้างสรรค์ (ซึ่งไม่รวมถึงการเข้าสังคม) และยังอุทิศเวลาให้กับผลงานของจอยซ์อย่างเต็มที่ โดยการเขียนตามคำบอกจนเป็นที่มาของนิยายโด่งดังเรื่อง Finnegan wake นอกจากนั้นยังเขียนบทความสำคัญอย่าง Dante …Bruno…Vico…Joyce ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อจะอธิบายถึงกรรมวิธีในการจดจารผลงานชิ้นล่าสุดของจอยซ์ ทางที่สอง ความใกล้ชิดสนิทสนมได้นำพาให้เขาเกิดความสนอกสนใจในตัวลูเซีย(Lucia) ลูกสาวผู้เก็บตัวของจอยซ์ นั่นนำ มาซึ่งความกระอักกระอ่วนให้ทั้งตัวเขาและจอยซ์เป็นอันมาก
ปลายทศวรรษ 20 เบคเกตต์ตีพิมพ์ Assumption เรื่องสั้นของตัวเองออกสู่สาย ตาของสาธารณชน มันปรากฏอยู่ใน transition ของ Eugene Jolas ในปี 1929 หลัง จากนั้นเขาก็นำเสนอบทกวี Whoroscope ซึ่งชนะการประกวดที่จัดขึ้นโดยThe Hours Press ตามต่อด้วย Proust (1931) ผลงานเขียนชิ้นต่อมาซึ่งน่าสนใจเป็นยิ่งนัก แต่ก็มัก จะถูกมองข้ามไปอยู่เสมอ นี่นับเป็นบทวิจารณ์เล่มแรกและเล่มเดียวของเบคเกตต์ที่ถูกตี พิมพ์ออกมา และก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เบคเกตต์เริ่มจะเขียนนิยายที่มีชื่อว่าDream of Fair To Middling Women อย่างชื่นมื่น
เบคเกตต์เคยสอนภาษาโรมานซ์อยู่ระยะหนึ่ง แต่ดูเหมือนบรรยากาศชีวิตทางวิชาการจะไม่เหมาะกับตัวเขาเท่าใดนัก มันจึงจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว บรรดาลูกศิษย์ที่แคมป์เบลล์ คอลเลจ กรุงเบลฟาสต์ยังค่อนขอดถึงอาจารย์ผู้ทรงภูมิคนนี้อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย ในเวลาเดียวกันนั้นเขาได้เสนอรายงานต่อสมาชิกThe Modern Language So city เกี่ยวกับกลุ่มเคลื่อนไหวอะวองการ์ด Le Concentrisme ซึ่งนำโดยกวีฝรั่งเศส Jean du Chas โดยมองถึงตัวงานของ Chas เป็นสำคัญ ผลงานชิ้นนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสนอกสนใจและทัศนคติมุมมองของเบคเกตต์ในงานวิจารณ์วรรณ กรรม
หลังจากได้รับปริญญาโทจากทรินิตี้ เบคเกตต์ก็ได้ย้ายไปลงหลักปักฐานที่ปารีสในปี 1937 ระหว่างการเดินทางกลับบ้านพร้อมด้วยสหายสนิทในเดือนมกราคมในปี 19 38 เบคเกตต์ถูกแมงดาข้างถนนจ้วงแทง คมมีดเฉียดขั้วหัวใจของเขาไป แต่โดนเข้าที่ปอดข้างหนึ่งอย่างจัง เมื่อเขาฟื้นขึ้นอีกครั้งที่โรงพยาบาลก็ได้พบหน้าเจมส์ จอยซ์นัก เขียนใหญ่ผู้อุตส่าห์ลากสังขารเสื่อมโทรมมาให้กำลังใจนักเขียนรุ่นน้องอยู่ตรงข้างเตียง แม้จะเจ็บเจียนตายเบคเกตต์ก็ยังมีอารมณ์ขัน จนอดแซวตัวเองไม่ได้ว่าในตอนนี้เขาเป็น เจ้าของที่น่าภาคภูมิใจของบาโรมิเตอร์วัดความดันอากาศในปอด ไปเสียแล้ว
ผลจากอาการเจ็บไข้ครั้งนี้ทำให้อวัยวะภายในของเขาค่อนข้างจะอ่อนไหวกับอุณ หภูมิของโลกภายนอก เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากันในศาล พรูเดนต์ (Prudent) เจ้าตัวร้ายซึ่งแทงเบคเกตต์สารภาพด้วยน้ำเสียงสุภาพว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำอย่างนั้นไปทำไม หลังจากนั้นเขารู้สึกเสียใจเป็นอันมาก นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดและไร้สาระเสียจนน่าหัวเราะไม่ต่างจากผลงานเขียนของเบคเกตต์แต่อย่างใด
ระหว่างที่พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลหนึ่งในแขกผู้มาเยี่ยนเยือนอยุ่บ่อยครั้งก็คือSuzanne Descheveaux Dumesnil สาวฝรั่งเศสวัย 37 ผู้ซึ่งตัวเขาเคยพบปะจากการเข้าสังคม ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองเริ่มจะงอกงามขึ้นทีละเล็กทีละน้อยหลังจาก นั้น จนคบค้าไปมาหาสู่กันจนเป็นเรื่องปกติ ซูซานเป็นคนเคร่งครัดและมีระเบียบวินัยสูง เธอได้อุทิศตัวเป็นธุระจัดการให้ผลงานเขียนของเบคเกตต์ได้รับการตีพิมพ์ หลังจากนั้นก็ยังทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความอยากรู้อยากเห็นของบรรดานักหนังสือพิมพ์ผู้ชอบมาฉกฉวยโอกาสโดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุอันสมควร ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินร่วมหอลงโรงกันในปี 1961 ที่โฟล์ก สโตน ประเทศอังกฤษ
ปี 1941 ผันผ่านมาถึงพร้อมด้วยความโศกศัลย์ เริ่มด้วยการลาลับล่วงของเจมส์ จอยซ์ และการรุกรานของพวกนาซี ในตอนแรกที่พวกเยอรมันเข้ามายึดครอง เบคเกตต์ได้แสดงตัวเป็นกลางเช่นชาวไอริชโดยทั่วไป แต่แล้วไม่นานเท่าใดนักเขาก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับเครือข่ายจารกรรมใต้ดินที่มีชื่อเรียกกันว่า กลอเรีย (Gloria) แม้ว่าเขาจะไม่สา มารถอดทนต่อหน้าที่สอดแนมได้ตลอดรอดฝั่ง หากแต่ในภายหลังก็ยังได้รับรางวัลเกียรติยศ Croix de Guerre ในปี 1945 สำหรับความกล้าหาญอย่างยิ่งยวดในการปกปิดความลับยิ่งชีพ
ผลงานเขียนของเบคเกตต์ในช่วงเวลานี้ได้แก่ More Pricks Than Kicks (19 34) Murphy (1938) และ Mercier and Camier (1946) พรั่งพร้อมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ทางวรรณกรรมและนำเสนอตัวตนของนักเขียนได้อย่างแจ่มชัด หากยังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลในแบบของจอยซ์
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ดังตัวเบคเกตต์เองได้เคยสรุปเอาไว้ว่าเป็นการต่อต้านจากภายในห้องหอ เริ่มจะปรากฏต่อสายตาของชาวโลกในระหว่างปี 1946 – 50 ผลงานเขียนในช่วงนี้เขาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ปัญหาของการรมวิธีในการแสดงออกและจะแสดงออกถึงสิ่งใดกลับกลายมาเป็นแกนหลักทางด้านสุนทรียศาสตร์ นิยายไตรภาค Molloy (1951) Malones Dies (1951) และ The Unnamable (1953) ต่างก็เขียนขึ้นด้วยภาษาฝรั่งเศส หลังจากนั้นตัวของเบคเกตต์เองจึงได้แปลเป็นภาษาอังกฤษอีกทอดหนึ่ง นิยายดังกล่าวได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ประเภทร้อยแก้วยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ
เมื่อ Waiting for Godot ปรากฏกับสายตาของสาธารณชนครั้งแรกบนเวที The’a tre de Babylone ในโรงละครเล็กๆในปารีส ปี 1953 โลกแห่งการละครก็ถึงกับสะดุ้งพลัน(บางทีอาจจะไม่พอใจอยู่บ้างเล็กน้อย)กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครั้งนี้ ดิดี้ และโกโก้ สองตัวตลกสวมหมวกทรงกะลาไม่ได้ทำอื่นใดนอกจากคอย…คอย…คอย…ใครบางคนที่มีชื่อว่าโกโด้ผู้ซึ่งอาจจะมาหรือไม่มา ในขณะที่ผู้ชมส่วนใหญ่อาจจะแค่ยักไหล่ส่งเสียงเย้ยหยัน และเบือนหน้าหนี หากแต่ภาพของชีวิตมนุษย์ที่ปรากฏกับสายตากลับบอกเล่าเรื่องราวที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความคาดหวัง ความห่วงใยเยี่ยงเพื่อนฝูง และการข่มเหง
ทั้งนี้ทั้งนั้นรวมไปถึงบทละครอื่นๆ ซึ่งคลอดตามมาติดๆอย่าง Endgame (1958) Happy Days (1961) และ Play (1963) ต่างก็ใช้แนวคิดทางด้านนามธรรมเป็นแกนหลักในการนำเสนอได้อย่างทรงพลัง ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยคุณค่าในการสื่อสารความหมายบอกเล่าเรื่องราวหลอนหลอนหลอกของความทรงจำในจิตใจแต่ครั้งเก่าก่อน สารัตถะในผลงานของเบคเกตต์หยั่งถึงความเป็นสากลดังคำพูดที่ว่า : แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่มีพระเจ้า แต่ทุกคนก็ต้องมีโกโด้มิใช่หรือ ?
ความตายและความโศกศัลย์ไม่ใช่เรื่องเหลือคาดเดาในผลงานเขียนของเบคเกตต์ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงของตัวเขา ตัวของเบคเกตต์เองเคยเฝ้าไข้ตลอดวันคืนเพียงเพื่อรอความตายให้มาเยี่ยนเยือนต่อหน้าต่อตาเมื่อแม่ของเขาลาลับไปในปี 1950 หลังจากนั้นในปี 1954 แฟรงก์พี่ชายของเขาก็ตกเป็นเหยื่อของมะเร็งปอดจนวางวายไปอีกคน ญาติสนิทมาด่วนจากไปทิ้งไว้แต่ความอาลัยอาวรณ์หน่วงหนักในหัวใจ เขาจึงได้แต่ระลึกถึงโดยผ่านสุ้มเสียงเลือนรางในผลงานเขียนทั้งนิยายและบทละครอยู่เช่นนั้นไม่เคยเสื่อมคลาย
เกียรติยศ ชื่อเสียง และรางวัลเริ่มจะถามหาตัวของเบคเกตต์ตั้งแต่ยุคทศวรรษ 60 เมื่อเขาหวนกลับมาที่กรุงดับลินอีกครั้งในปี 1959 เพื่อรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตระดับ ด็อกเตอร์ที่ทรินิตี้ คอลเลจ สองปีต่อมาเขาก็ได้รับรางวัล the Prix International des Editeurs ( หรือ Prix Formentor) ร่วมกับ Jorge Luis Borges ซึ่งมีมูลค่าถึง 10,000 เหรียญ แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดกลับเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ปี 1969 เมื่อซูซานภรรยาของเขาได้เดินมารับโทรศัพท์ซึ่งดังไม่หยุดมาเป็นเวลานานสองนาน เบคเกตต์ได้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์ คำยกย่องจากคณะกรรมการได้บอกกล่าวถึงที่มาของการได้ รับรางวัลในครั้งนี้เอาไว้ว่า ผลงานเขียนของเขาคือรูปแบบใหม่ของนิยายและบทละคร ท่ามกลางความข้นแค้นทั้งหลายทั้งปวงมนุษย์สมัยใหม่ปรารถนาการยกระดับให้สูงยิ่งขึ้น ส่วนตัวของเบคเกตต์เองกลับยกย่องว่าจอยซ์เป็นผู้ที่สมควรจะได้รับรางวัลมากกว่า เงินรางวัลส่วนใหญ่ถูกมอบให้กับการกุศล และบางส่วนถูกนำไปช่วยเหลือนักเขียนที่มีจำ เป็นทางการเงิน(อย่างเช่น Djuna Barnes และ B.S.Johnson )
ในขณะที่โกโด้ยังคงรุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ชื่อของเบคเกตต์เองก็ถูกบรรดานักแสดง นักอ่าน ศิลปิน ผู้จัดพิมพ์ และนักวิชาการหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นถกเถียงแลกเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้ความเป็นส่วนตัวยากจะรักษาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์ หากแต่ตัวของเบคเกตต์ขึ้นชื่อเรื่องกำหนดนัดหมายและความตรงต่อเวลา เขาไม่ชอบการให้สัมภาษณ์ และยังหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงผลงานของตัวเอง
เช่นดังที่เคยเป็นมาเบคเกตต์มักจะประสบกับเหตุการณ์ผิดธรรมดาอยู่บ่อยครั้ง ในปี 1955 นักโทษชาวเยอรมันผู้ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโกโด้ได้แหกคุก และเตลิดหนีมาที่ปารีสเพื่อตามหาผู้สร้างสรรค์ผลงานดังกล่าว จน Roger Blin นักแสดง – ผู้กำ กับละครเวทีและเพื่อนสนิทของเบคเกตต์ต้องเข้ามาเกลี่ยกล่อมให้นักโทษคนนั้นล้มเลิกความตั้งใจ เพราะในตอนนั้นเบคเกตต์ไม่อยู่ หากแต่ยินดีจะช่วยเหลือค่าเดินทางกลับเยอรมัน สาวกผู้คลั่งไคล้คนนั้นเล่าให้ฟังว่าเขาอุตส่าห์อ่านงานชิ้นนี้ของเบคเกตต์มาเป็นปีๆ เมื่อได้ยินดังนั้นนักเขียนของเราก็สวนกลับมาว่า คุณคงจะต้องเหนื่อยน่าดู
ผลงานเขียนในยุคทศวรรษ 70 – 80 ของเบคเกตต์นับวันยิ่งจะน้อยลงน้อยลงทุกที ผลงานที่น่าสนใจในยุคหลังของเขาประกอบด้วย Rockaby และ Ohio Impromptu (จากปี 1981) เต็มไปดวยภาพลวงตาและการสอดประสานอย่างแจ่มชัดกว่าผลงานก่อนหน้า หลังจาก Eh Joe (1967) ผลงานละครทางโทรทัศน์ที่ปรากฏต่อสายตของผู้ชมอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาเขียนบทละครอื่นอีกหลายต่อหลายเรื่อง อาทิเช่น Ghost Trio (1976) และ Quad (1984)
หลังจากที่เขากึ่งๆปลดเกษียณอยู่ที่สถานฟักฟื้นพยาบาล Le Tiers Tempes เบคเกตต์มักจะทำให้กับแขกผู้มาเยือนประหลาดใจกับความกระตือรือล้นในแง่มุมของความคิดสร้างสรรค์อยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าเขาจะเคยพยายามแปลผลงานของตัวเองในช่วงปีท้ายๆของชีวิต แต่ก็พบว่ามันรวดร้าวเกินกว่าจะแตะต้องได้อีก ซูซานจากไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1989 และแล้วเมื่อมาถึงวันที่ 22 ธันวาคม 1989 เบคเกตต์ก็ลาลับล่วงจากโลกนี้ไปในกรุงปารีส ทิ้งไว้แต่ผลงานกระเดื่องดังไว้เป็นอนุสรณ์แทนตัว พวกเขาทั้งสองถูกฝังเคียงคู่กันในสุสาน Cimitie’re du Montparnasse กรุงปารีส
จิตติ พัวสุทธิ เรียบเรียง
open ground
ทีมงาน Underground Buleteen
โดย onopen.com – โอเพ่นออนไลน์