การพัฒนาความสามารถและเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปราสาทวิทยาคม อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
พรกมล ช่างทอง (2551) นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถและเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปราสาทวิทยาคม อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 21คน ผลการวิจัยพบว่าบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.8/86.19 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 และการใช้บทเรียนสำเร็จรูปช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน โดยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์หลังการเรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปสูงกว่าก่อนใช้บทเรียนสำเร็จรูปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
พรกมล ช่างทอง (2551). การพัฒนาความสามารถและเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปราสาทวิทยาคม อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน). นครราชสีมา : สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ : ผศ.ดร.ประหยัด ภูมิโคกรักษ์ (ประธานกรรมการ) และ นางลลิตา ธงภักดี (กรรมการ).
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปที่ใช้ในการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนจากการอ่านสื่อหนังสือพิมพ์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถ ในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปเพื่อเปรียบเทียบเจตคติในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนปราสาทวิทยาคม ตำบลหินดาด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำนวน 21 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป จำนวน 6 แผน บทเรียนสำเร็จรูป การอ่านภาษาอังกฤษ เรื่อง การอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ 6 เรื่อง แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ จำนวน 40 ข้อ และแบบวัดเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที
ผลการศึกษาพบว่า
1. นักเรียนมีเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษในภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง คือ = 4.33, S.D. = 0.73 ส่วนนักเรียนมีเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษในภาพรวมอยู่ในระดับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง คือ
= 2.43, S.D. = 1.49
2. บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.8/86.19 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีเจตคติต่อการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์หลังการเรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปสูงกว่าก่อนใช้บทเรียนสำเร็จรูปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้บทเรียนสำเร็จรูปช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน