กวีเร็กเก้ชาวอังกฤษนาม เบนจามิน เซพาไนอาห์ เป็นผู้ทำลายพรมแดนระหว่างบทกวีและดนตรี

กวีเร็กเก้ชาวอังกฤษนาม เบนจามิน เซพาไนอาห์ เป็นผู้ทำลายพรมแดนระหว่างบทกวีและดนตรี และเป็นตัวกลางที่หลอมรวมทั้งสองศิลป์เข้าด้วยกัน
เขาปฏิเสธการเป็นกวีราชสำนัก ปฏิเสธเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพราะบนเหรียญตราจารึกคำว่า “Empire” เอาไว้ เขาบอกว่าต้องการเป็นอิสระจากกรอบหรือความเป็นทางการ และกรุณาปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเพื่อให้ได้เป็นกวีไร้พันธนาการ เขาต้องการมีสถานะเป็นผู้ประกาศทางเลือกใหม่ พร้อมบอกกับตัวเองว่า ควรเป็นกวีที่สังกัดองค์กรอิสระ มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องสังคม การเมือง วัฒนธรรม และเรื่องราวอื่นๆ รอบตัว
เจตนารมณ์อันชัดเจน ทำให้เบนจามินเป็นกวีที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งของอังกฤษ เขาเกิดและเติบโตที่เบอร์มิงแฮม จำความไม่ได้ว่ารู้จักมักจี่กับการเขียนกวีตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้จะเข้าเรียนก็รู้จักกวีเพียงน้อยนิด อีกทั้งยังบอกเลิกการเรียนหนังสือเมื่ออายุได้ 13 ปี บทกวีของเขาได้รับอิทธิพลอย่างมากมาจากดนตรีและกวีนิพนธ์ของชาวเจเมกา เบนจามินเรียกบทกวีเหล่านั้นว่า “การเมืองข้างถนน”
เขาเริ่มแสดงการอ่านบทกวีครั้งแรกในโบสถ์ตอนมีอายุ 10 ปี พออายุ 15 เขาฝึกปรือตนเองในเมืองแฮนด์สเวิร์ธ ซึ่งที่แห่งนี้ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในฐานะกวีหนุ่มที่กล้าพูดถึงเรื่องของท้องถิ่นและนานาชาติ เขารักแฮนด์สเวิร์ธและเรียกขานเมืองนี้ว่าเป็นเมืองหลวงชาวเจเมกาแห่งยุโรป แม้ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวแอฟริกัน-แคริบเบียน และชุมชนชาวเอเชีย แต่เขากลับคิดว่ามันเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ อีกทั้งไม่อยากพร่ำกวีเกี่ยวกับคนผิวสีให้กับคนผิวสีด้วยกันฟัง เบนจามินจึงออกแสวงหาผู้ฟังกระแสหลักในวงกว้างมากขึ้น เขาจึงมุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอนเมื่ออายุ 22 ปี และรวมบทกวีเล่มแรกในชื่อ Pen Rhythm พิมพ์โดย Page One Books ก็ปรากฏสู่สายตานักอ่าน ขายดีจนต้องพิมพ์ซ้ำถึงสามครั้ง ก่อนหน้าที่สำนักพิมพ์แห่งดังกล่าวจะจัดพิมพ์งานเล่มแรกของเบนจามิน เขาได้รับจดหมายตอบปฏิเสธจากหลายสำนักพิมพ์
ทศวรรษ 90 หนังสือหลายเล่มของเบนจามินได้รับการจัดพิมพ์ แผ่นเสียงของเขาวางจำหน่ายและได้ออกรายการโทรทัศน์ในอังกฤษเพิ่มมากขึ้น เขาชอบออกไปแสดงการอ่านบทกวีและเล่นดนตรีนอกยุโรป เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเองทุกครั้งเมื่อออกไปเยือนแอฟริกาใต้ ซิมบับเว อินเดีย ปากีสถาน และโคลัมเบีย สถานที่เหล่านี้เป็นการออกทัวร์อันตราตรึงใจ เพราะขนบของการพร่ำกวีเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกทำลาย เมื่อใดที่ The Benjamin Zephaniah Band ออกทัวร์การแสดงกวีและเล่นดนตรี ผู้ชมมักประทับใจการอ่านกวี หนังสือ และการแสดงของเบนจามิน เขาเป็นคนแรกที่ได้บันทึกเสียงร่วมกับเวลเลอร์หลังจากการเสียชีวิตของบ็อบ มาร์เลย์ ในการทำดนตรีเพื่อสดุดีแก่เนลสัน แมนเดล่า เพื่อทวงถามอิสรภาพแก่แอฟริกาใต้ แมนเดล่าแม้จะถูกจองจำอยู่ในคุกที่เกาะรอบเบ็น แต่รับรู้การทำงานของเบนจามินและเวลเลอร์ หลังจากแมนเดลล่าได้รับอิสรภาพทั้งคู่จึงมีโอกาสสร้างความสัมพันธ์เพื่อร่วมกันทำงานช่วยเหลือเด็กๆ ชาวแอฟริกันใต้
เบนจามินยังเป็นกวีสำหรับเด็กๆ Talking Turkeys เป็นกวีนิพนธ์เล่มแรกที่เขียนสำหรับเด็ก เมื่อออกวางจำหน่ายก็ต้องพิมพ์ซ้ำภายในหกสัปดาห์ ตอนแรกเขาไม่มีความคิดที่จะเขียนบทกวีสำหรับเด็ก ในที่สุดเขาก็คิดว่าเด็กๆ หรือวัยรุ่นต้องชอบที่เขาถ่ายทอดเรื่องราวของอันธพาล ปืน การเหยียดผิว และสงครามลงในบทกวี นอกจากบทกวีที่เหมาะแก่นักอ่านวัยเด็กและวัยรุ่นแล้ว เขายังมีนวนิยายเรื่องแรก Face (1999) ซึ่งเขียนให้กลุ่มนักอ่านวัยหนุ่มสาว ส่วน Teacher’s Dead ตีพิมพ์เมื่อสองปีที่แล้ว บทกวีและงานเขียนต่างๆ ของเบนจามินไม่เพียงเรียกร้องสิทธิความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่บทกวีและงานเขียนของเขากินความรวมถึงการเรียกร้องสิทธิเพื่อสัตว์ บทกวีแนวนี้เรียกได้ว่าอยู่ในสายเลือดของเบนจามิน เขารู้สึกว่าสัตว์เหล่านี้ต่างกำลังไร้ที่พักพิง บ้างก็รอคอยวันที่จะถูกฆ่า และแน่นอนว่ามีสัตว์อีกมากที่เริงร่ากับชีวิต
การตระเวนออกไปตามที่ต่างๆ ในอังกฤษ ทำให้มีโอกาสได้อ่านบทกวีให้กับผู้คนทุกอายุและทุกชนชั้น ทุกปีเบนจามินจะต้องไปใช้ชีวิตส่วนหนึ่งที่ประเทศจีน เขาเชื่อว่าอะไรก็เป็นไปได้ตราบใดที่มนุษย์ยังต้องพูดคุยกัน และเขากล่าวถึงเหตุผลที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่จีนว่า “ผมต้องการไปที่ไหนสักที่ ที่ที่ผมได้ยินการโฆษณาชวนเชื่อและผมอยากไปค้นพบว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างที่ร่ำลือหรือไม่? ผมจำได้ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมได้รับการพร่ำบอกว่า รัสเซียเป็นศัตรูของพวกเรา วันหนึ่งผมจึงนั่งเครื่องบินไปรัสเซีย ผมอยากเห็นกับตาตัวเอง อยากไปคุยกับแม่บ้าน นักล้วงกระเป๋าและคุยกับชาวรัสเซียทุกคน ไปดูว่าทำไมพวกเขาถึงเกลียดเรา และผมค้นพบว่าพวกเขาไม่ได้เกลียดเรา พวกเขาแค่ต้องการใช้ชีวิตในแบบของพวกเขา ผมไม่เคยลืมวันที่ผมพูดกับหญิงชาวรัสเซียคนหนึ่งว่า ‘เอ๊ บัตรคิวเพื่อไปรับขนมปังของคุณหละ’ – ตอนนั้นเป็นทศวรรษ 1980 – เธอลุกขึ้นและกลับมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ ผมคิดว่านั่นคือบัตรคิวขนมปัง และผมก็พูดว่า ‘เย้ นี่เองบัตรคิวขนมปัง’ เธอตอบว่า ‘ไม่ใช่หรอก นั่นมันเป็นบัตรคิวรับของให้ทานเล็กๆ น้อยๆ ของคุณ’ ”
พอไปจีนเบนจามินรับรู้วิถีที่น่าสนใจหลายอย่าง เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า “ผมเชื่อว่าชาวจีนทุกคนมีลูกแค่คนเดียว แต่ผมกลับพบชาวจีนหลายคนมีลูกตั้งหกคน และอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้นเมื่อมีนักมังสวิรัติในเมืองจีนแบบเดียวกับผม – แต่ร้านอาหารมังสวิรัติที่ผมไปมาทั่วโลก ที่เมืองจีนรสชาติสุดยอดที่สุด ผมคิดว่ามีหลายสิ่งที่น่าเศร้าใจเป็นที่สุดสำหรับประเทศจีน คือการที่จีนกำลังเข้าสู่ระบบทุนนิยมที่หมายถึงเงิน แน่นอนหละว่าพวกเราต้องแปลกใจที่ชาวจีนทำการค้าได้ดีกว่าพวกเรา แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะทำความรู้จักและเข้าใจจีนแบบทะลุปรุโปร่ง ผมรู้จักโปแลนด์และบางส่วนของสหภาพรัสเซียเป็นอย่างดี และรับรู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ ว้าว! แน่นอนหละพวกเราทุกคนมีเสรีภาพ อยู่ในระบบทุนนิยม แต่ตอนนี้ที่ผมเห็น ทุนนิยมก็ใช่ว่าจะดีไปหมดทุกอย่าง”
เบนจามินไม่ใช่มาร์กซิสต์หัวเก่า เขาชอบความหลากหลายของวัฒนธรรม และเขาก็รู้ว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ สงคราม การก่อการร้าย และวัฒนธรรมมุสลิม “พวกเราลืมกันไปว่า อังกฤษมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมายาวนานก่อนที่ชาวผิวดำจะมาอยู่ที่นี่เสียอีก วัฒนธรรมใน Lincolnshire ต่างกันอย่างมากกับวัฒนธรรมใน Devonshire หรือ Cheshire – นอกจากนี้ก็ยังมีชาว Huguenots, Angles, Saxon และ Celts เป็นเรื่องน่าสนใจที่หลายคนใน Lincolnshire ซึ่งผมอยู่ที่นี่ พวกเขามักพูดคุยกับผมโดยไม่คิดว่าผมเป็นชาวต่างชาติ เช่นถามผมว่า ผมคิดยังไงกับการที่มีชาวต่างชาติมาทำงานในไร่ของพวกเขา คุณรู้ไหม มันไม่ต่างจากยุคของแม่ผมเลย แม่และน้าของผมพบประกาศรับสมัครคนไปทำงานที่อังกฤษ แม่ผมจึงมาที่นี่ ส่วนน้าผมไม่ยอมมาโดยให้เหตุผลว่า อังกฤษอากาศหนาวเกินไป และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมมาอยู่ที่นี่ และญาติๆ ของผมอยู่ที่เจเมกา สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวชนบทในอังกฤษคือ รัฐบาลมักจะบอกพวกเราว่าให้กินพืชผักผลไม้ที่เพาะปลูกเองในท้องถิ่น แต่ถ้าพืชผลมันงอกงามขึ้นมา ใครๆ ก็ไปเก็บมาได้ทั้งนั้น เด็กหนุ่มสาวในประเทศนี้ดูโทรทัศน์ ดูการแสดงดนตรี ดูคนทำงานด้านไอที และมันทำให้พวกเขาอยากเป็นแบบนั้น ถ้าลองมีใครบอกเด็กพวกนี้ไปเก็บมะเขือเทศในสวน พวกเขาจะตอบว่า ไม่มีวันซะหละ”
เบนจามินเล่าว่า มีโรงเรียนสอนความคิดอยู่แห่งหนึ่งกล่าวว่า คนหนุ่มสาวไม่จดจำบทกวีอีกต่อไปแล้ว พวกเขาจึงไม่มีการสอนกวีแบบเมื่อก่อน เขาเห็นด้วยกับความคิดนั้น เพราะจริงๆ แล้วบทกวีอยู่รายล้อมผู้คนทุกคนโดยไม่จำเป็นต้องทำการเรียนการสอน การพูดคุย การเกี้ยวพาราสีของเด็กหนุ่มสาวก็เป็นส่วนหนึ่งของบทกวี ผู้คนสมัยก่อนในอดีตไม่รู้หนังสือ แต่พวกเขาหลายคนจดจำบทกวีได้ พอมีระบบการศึกษาและหนังสือจึงทำให้หน่วยความจำในบทกวีของพวกเราลดลง การเล่าเรื่องในอังกฤษตายลงเมื่อการพิมพ์หนังสือและการศึกษาอย่างเป็นระบบก่อกำเนิดขึ้น เบนจามินตั้งปณิธานเอาไว้ว่า บทกวีและบทเพลงของเขาต้องกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้ผู้คนได้คิด และเขาพร้อมจะเครื่องจักรในการเชื่อมความแตกต่างระหว่างผู้คน
“ผมคิดว่า ถ้าใครสักคนยอมจ่าย 10 หรือ 15 ปอนด์ เพื่อมาพบตัวจริงผม แทนที่จะเอาไปหาความสำราญอย่างอื่น ผมก็ควรจะให้อะไรตอบแทนเขากลับไป ซึ่งต้องไม่ใช่การทำตัวเป็นกวีดาดๆ ที่เอาแต่อ่านบทกวีจากหนังสือ แต่ผมต้องทำให้บทกวีนั้นให้มีชีวิตจิตวิญญาณด้วย”
ขอบคุณเรื่องราวจาก
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Life Style : Read & Write