Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

กวีซีไรต์คนที่ 9 เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ คือผู้ชายคนนี้

 

 
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ดวงตาโศกคนนั้นกลายเป็นจุดเด่นเมื่อเดินเข้ามาในร้านเหล้า แม้จะคุ้นตา
คนแถวนี้แล้ว ช่วงที่อยู่ในกรุงเทพ เขามากินเหล้าที่ร้านในซอยรามคำแหง 37 แทบทุกคืน และ
แทบทุกครั้งเขาจะมีเรื่องเล่ามากมาย ทั้งอำทั้งจริง และสนุกสนานและทั้งเครียด เรื่องราวจาก
เขาอาจจะเล่าซ้ำไม่เคยหมด แต่ทว่าไม่มีครั้งไหนที่เราจะคุยกันอย่าง "เป็นจริงเป็นจัง" การคุย
ครั้งนี้แทบไม่ถามถึงเรื่องความเป็นกวีของเขา ทว่าสิ่งที่เขาเผยออกมาล้วนแสดงความเป็นกวี
ของเขาชัดเจน เรื่องราวต่อไปนี้ลึกซึ้งกว่าที่นิตยสารเล่มใดเคยสัมภาษณ์ เขาบอกก่อนจะคุยกับ
เราว่า อาจจะเป็นจิตใต้สำนึกของเขาที่สารภาพออกมา เพราะเราคุยกันในโต๊ะเหล้า แต่เขาก็ยิน
ดีที่จะเล่า
 
 
กลับไปเยี่ยมวัยเยาว์
 
เขาเล่าเรื่องวัยเยาว์เมื่อรินเหล้าแก้วแรก
 
ตอนเด็กเกิดมาในบ้านที่อยู่ห่างชุมชน (คนละฝั่งกับตลาด) ฝั่งกะโน้นคือชมุชนฝั่งเราเป็นบ้านดง
ไม้ เลยเป็นคนที่ค่อนข้างตาขาว ข้ามฝั่งไปก็เจอพวกแก๊งเด็กๆ หัวโจก มันก็ขู่จะต่อยจะเตะ เรา
ก็กลัว เลยไม่ค่อยได้ข้ามฟาก อยู่เล่นกับบ้าน กับพี่สาว ลูกป้า น้า เล่นหมดแหละ ขายของ สร้าง
บ้านจำลอง สร้างเมือง เล่นน้ำเล่นท่า ไปตามเรื่องตามราว เราค่อนข้างขี้ขลาดตาขาว เด็กฝั่งกะ
โน้นมาขามฝั่งมาขู่ขอผลไม้ เราก็ให้เขากิน ฝั่งต้นไม้ กะท้อน ชมพู่
 
ตอนนั้นเรียนโรงเรียนน้ำตาลสุพรรณอุปถัมภ์ โรงงานน้ำตาลทำโรงเรียนเอกชนให้ลูกชาวไร่ไป
เรียน มีรถรับส่ง ก็โดนขู่ตลอด ใส่รองเท้าไม่ทันก็วิ่ง ขึ้นรถแล้วไปก็ไปเตะหัวน็อต เล็บหลุด
(หัวเราะ) ก็มีอะไรเปิ่นๆ ตลอด ไม่ทันแล้วมึง รถไม่รอมึงแล้ว ก็วิ่งร้องไห้ ขึ้นรถ
เป็นเด็กขี้กลัว
 
กลัวอะไร
กลัวในความเป็นชุมชน กลัวเสียงกรรโชก  พอโตมาก็คือ เราไปตบคืน มันก็กลัวเรา ช่วงวัยรุ่นไง
พวกมึงกูไม่กลัวหรอก เดี่ยวๆ ได้
 
 
 
เมื่อถามถึงปมวัยเด็ก เขาเล่าเรื่องพ่อ
กลัวเสียงดัง คล้ายๆ ว่าพ่อเมาแล้วอาละวาด ทุบนั่นทุบนี่ จะใจสั่นมากๆ เลย เวลาได้ยินพ่อเบิ้ล
มอเตอร์ไซค์จะกลัว กลัว กลัว  อ่านหนังสือไม่ได้เลย คือพ่อแกก็เป็นคนประเภทบ้าๆนะ เวลา
เมา เก็บกดน่ะ ทุบกระจก กระจกตู้ในบ้านแทบไม่เหลือ ลากปืนยาว ปืนลูกซอง พานท้าย
กระแทกแตกชิบหายหมด ก็เคยบอกพ่อตอนโตว่าถ้าพ่อไม่เมาผมก็ไม่จากบ้าน แกก็เลิกได้ 10
ปีกว่าแล้ว เมาแล้วดูไม่ได้เลย ก็เป็นปมอาฆาตอยู่เหมือนกันว่าถ้าเรากินเหล้าแล้วจะไม่
อาละวาดแบบพ่อ เราคิดว่ากินเหล้าแล้วต้องเป็นอย่างนั้น
 
เวลาพ่ออาละวาดแล้วคุณทำยังไง-
ก็วิ่งชิบหายเลย วิ่งเข้าดงอ้อยไง คล้ายๆ บทกวีตะเกียงน่ะ ในแม่น้ำรำลึก ที่ลุกขึ้นเตะตะเกียง
แล้ววิ่ง เข้าป่าเข้าดงไป คนอื่นเขาค่อนข้างรักแม่ คือเราก็รักแม่ แต่ส่วนมากพี่สาวจะเป็นคนกัน
แม่ คอยปกป้องแม่  แต่พ่อก็ไม่เคยลงไม้ลงมือ นะ เขาเพียงแต่อาละวาด ยิงปืนขึ้นฟ้า ด่าทอแม่
น้ำลำคลอง ด่า อีคลองแสนแสบ อีบางตอแหลคือคลองไม่ใช่แสนแสบแต่เอามากไม่เมืองเดิม มา
จากกรุงเทพ แกค่อนข้างมีการศึกษาไง แกคงมีปมน่ะ แล้วก็มาได้กับหญิงชาวบ้านอย่างแม่เรา
คล้ายๆ ว่าแกมีปัญหาไปสอบอะไรไม่รู้วิชาครู ไม่ได้ เลยไม่ได้เป็นครู
 
จนโตมั้ย ปมนี้-
ก็ยันโตนะ ตอนนั้นมัธยม 2 หนีไปอยู่วัด ก็รำคาญ จริงๆ ไม่ได้โทษเขานะ คือเราเป็นคนที่ไม่
อยากอยู่ในความขัดแย้ง เกลียดมากๆ แม้กระทั่งอยู่ในวงเหล้าเพื่อนฝูงมีเรื่องกับใครก็รำคาญ
ไม่ชอบอยู่ในความขัดแย้ง อึดอัดชิบหายเลย คิดว่าไปอยู่วัดก็คงสบายกว่า สงบกว่า ก็ไปอยู่วัด
ใหม่ ห่างจากบ้าน 3-4 กิโล ก็ไม่เคยกลับบ้านเลย 3-4 ปี ไม่อยากอยู่ในบ้านที่ทะเลาะเบาะแว้ง
 
พ่อทำอะไร ตอนนั้น
พ่อเป็นหมอเถื่อนน่ะ หมอชาวบ้านฉีดยาฝรั่ง ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ แกจะเป็นคนที่ออกจาก
บ้านทุกวัน ไม่ได้ทำไร่ แม่จะแบกโลกตรงนี้คนเดียว ทั้งในบ้าน ทั้งนอกบ้าน พ่อก็ออกไปข้าง
นอก เมากลับมาทุกวันล่ะช่วงนั้น กับข้าวกับปลาบางทีก็ซื้อหมูซื้ออะไรมาก็เน่าระหว่างทาง
แต่แกก็มีภาพน่ารัก แกก็ห่วงลูกนะ แต่แกก็ไม่แสดงออก ซื้อขนม เมาก็มีขนมห้อยหน้ารถมา
มันก็ดูงามแบบทุเรศๆ มองภาพดูมันหดหู่
 
เขาเล่าถึงแม่
ภาพดีๆ ก็จะเป็นแม่ไง ทุกอย่าง แม่เป็นคนที่ระมัดระวังทุกอย่างเลย เพราะแกแบกภาระคน
เดียวอยากกินอะไรก็ไม่ได้กิน เสื้อผ้ามีชุดสองชุดก็ใส่อยู่อย่างนั้นล่ะ เห็นเสื้อผ้าตลาดนัดอยาก
ได้ก็ไม่ได้ เสื้อกล้ามตัวนึง ก็ร้องอยากได้นะ ร้อง จำได้ ประมาณ ป 1 ก็เข้าใจตอนโต แกแบก
เยอะ มาซื้อที่ด้วย ต้องจ่ายธกส. กระเหม็ดกระเหม่มาก ไม่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเลย ไม่ซื้อกับข้าว
เป็นคนที่ไม่เคยซื้อกับข้าว มีอะไรหน้าบ้านก็เอามากินหมด ผักบุ้ง ตำลึง น้ำพริกเป็นหลัก แม่จะ
ไม่เคยรู้จักร้านค้าของชำในหมู่บ้านด้วยซ้ำ ชีวิตแกไม่เคยไปอยู่ในวงของการนินทา
 
แม่ทำกับข้าวอะไรอร่อย-
อาจจะไม่อร่อยเลยสักอย่างก็ได้คนอื่นกิน แต่เรารู้สึก เราเคยบอกกับแม่ว่าสิ่งที่แม่ทำมานั้น
อร่อยทั้งหมด จริงๆ เคยบอกเขาตรงๆ ว่าผมกินรสใจของแม่
 
เป็นลูกแหง่ใช่มั้ย-
ก็เป็นคนอาจจะชอบสร้างปมให้ตัวเองหน่อยๆ คล้ายๆ รักแม่ แต่ต้องพรากจากแม่ตลอด ทำให้
เรามีแรงบันดาลใจ
 
เขาย้อนเล่าเรื่องพ่อ
พ่อเป็นคนที่ไม่แสดงออกไง เราเคยเป็นไข้เลือดออก อ้วกออกมาเป็นเลือดแล้ว แกก็นั่งเมาอยู่ใน
ร้านค้าในหมู่บ้าน พี่สาวไปตาม บอกว่าไอ้โยมันอ้วกเป็นเลือดแล้วนะ แกก็บอกว่าปล่อยให้แม่ง
ตายไป แต่สุดท้ายแกก็มา แกก็รักษาด้วยตัวเองนะ เราไม่ได้เข้าโรงพยาบาลเลย ไข้เลือดออก
ตอนนั้นมันก็แรงนะ ถ้าเกิดแกพลาดสักหน่อยเราก็คงตาย ฝันว่าไฟไหม้ล้อมมุ้งเข้ามาๆ ก็ร้อง
เรียกแม่สุดเสียง ก็ตื่น ก็เรียกแม่ไง
 
ช่วงนั้นพ่อแกแสดงออกว่าแกชอบพี่สาวคนโต พ่อแกมักจะตวาดเราตลอด บางทีเขาพูดกับเรา
เราใจลอย แกก็ด่าเราไอ้โง่ ไอ้งั่ง เราเป็นเด็กใจลอยไง บางทีเขาใช้ เอ้อ ไปเก็บกะเพราให้หน่อย
แกเมาแล้วทำกับข้าว  เราก็อะไรพ่อ แกก็ตวาดกลับเลย ไอ้โง่ ไอ้งั่ง เราเป็นเด็กเราก็ไม่รู้สึกว่า
เราโง่ เราก็โกรธ แต่มันก็คลี่คลายไง เราก็รู้สึกว่าแกก็อยู่ในตัวเราด้วย บางทีเราก็คล้ายๆ แกนั่น
เหมือนกัน
 
 
 
ทำไมใจลอย คิดอะไรหรือเปล่า-
คิดสิ ในหัวมีเรื่องราว เราติดตามเรื่องของเราไป เราไม่ได้ฟังคนอื่น แม้กระทั่งปัจจุบันนี้บางทีเรา
นั่งในวงเราก็ไม่ได้ฟังใครเลย ถึงได้ขับรถไม่ได้ไง เคยขับมอเตอร์ไซค์แล้วคว่ำตลอด คิดว่าไม่ได้
ขับมอเตอร์ไซค์ คิดเรื่องอื่น ลงข้างทางตลอด
 
แล้วตอนเรียนหนังสือเป็นยังไง เขาเล่าถึงช่วงเรียนที่โณงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม
ไม่ค่อยอยู่ในร่องในรอย มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่อยากอยู่ในโรงเรียน อยากอยู่กลางทุ่งนา
อยากไปอยู่ข้างนาเอาหนังสือไปอ่าน เอาข้าวห่อไปกิน ไม่เคยคิดว่าอยู่โรงเรียนมันจะได้อะไร
เท่าไหร่ ไม่เคยประทับใจกับโรงเรียน รู้สึกว่ามันซ้ำๆๆๆอยู่อย่างนั้นเอง
 
ชอบวิชาอะไรมั้ย-
ไม่ชอบเลย คือมีครั้งหนึ่ง ตอนม 1 ไปสมัครเข้าโรงเรียน พ่อต้องไปด้วย พ่อก็ไปอย่างดีเลย
อาจารย์ที่รับสมัครเขาก็ถามว่าชอบวิชาอะไร เขาก็ไล่ทุกวิชาเลย เราก็ไม่ชอบครับๆๆๆ ไม่ชอบ
ทุกวิชาเลย พ่อกลับมาเมาอาละวาดชิบหายเลย เขารู้สึกว่าเราไปหักหน้าเขา
 
อ้าว แล้วศิลปะล่ะ
ตอนนั้นไม่รู้เขาถามหรือเปล่า แต่ตอนนั้นถ้าถามกันจริงๆ อาจจะไม่ชอบก็ได้ ไม่รู้ พูดง่ายๆ เป็น
เด็กที่ไม่มีความมุ่งหมาย ไม่รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร คล้ายๆ ว่ามันถูกกำหนดมาว่าต้องเรียน
 
ไม่ชอบทำการบ้าน
ไม่ชอบชิบหายเลย ไม่ชอบด้วยตัวเองนะนั่นน่ะ ตั้งแต่ป 3 นี่ โดนตีเลือดอาบน่องเลย การบ้าน
ไม่มีอะไรเลย สมุดเลขเปิดมาว่างเปล่า  เขาถามว่าทำไมไม่ทำ เราก็ไม่ตอบ ไม่รู้จะตอบว่ายังไง
จริงๆ อยากจะตอบว่าไม่อยากทำ ไม่รู้ว่าไปยียวนเขาหรือเปล่า ขึ้นม.1 ก็ไม่ทำ โดนครู
คณิตศาสตร์กระโดดตบหน้าเลย
 
เถียงมั้ย-
ไม่เถียง เราก็ยอมให้ตบ เราก็น้ำตาซึมนะ รู้สึกว่ามาทำกูทำไมวะ แค่ไม่อยากทำการบ้านเท่านั้น
เอง มันผิดร้ายกาจนักหรือ เราก็สอบผ่านของเรา
 
ตอนหลังครูเขามาพูดอะไรมั้ย
ก็ตอนหลังอาจารย์คนนี้ล่ะ เป็นคนที่ประกาศหน้าเสาธงว่าปีนี้เด็กสามชุกรัตนฯ สอบติดโควต้า
ศิลปากร 2 คน คือเรวัตร์ทั้งคู่  เราก็รู้สึกแปลก คนที่เคยตบหน้าเราต้องมาประกาศชื่อเราหน้า
เสาธง
 
ครูที่ยอมให้ไม่ทำการบ้านมีมั้ย-
อาจารย์คณิตศาสตร์ ตอนม5-6 เขาเป็นผู้หญิงในนักเลงน่ะ ชื่ออาจารย์นิตยา แกทำหนังกาง
แปลง ตอนหลังทำค่ายมวยด้วย จริงๆ เราเรียนคณิตศาสตร์ได้ดี ได้เกรดสี่ เพียงแต่เราไม่ทำ
การบ้าน อาจารย์เขาก็บอกว่า เออ เอ็งไม่ทำการบ้าน เอ็งเอา 3 ไปแล้วกัน แกก็นักเลงดี
 
วิชาภาษาไทยล่ะ-
เต็มที่ก็ 2 นะ เรารู้สึกว่าเราท่องจำไม่ค่อยได้ ท่อง ก ไก่ ยัน ฮ นกฮูกไม่ได้เลย ไม่รู้จัก คำคุณ
ศัพท์ วิเศษณ์ คืออะไรวะ เพียงแต่รู้ว่าอ่านได้ เขียนได้
 
วิชาศิลปะ
ไม่มีเลย ในสายวิทย์ ตอนม.ต้นมีก็ไม่เน้น
 
ตอนนั้นสอบได้โควต้าภาคกลาง—แล้วไม่เรียน
ก็รู้แม่ไม่มีตังค์  สอบได้คณะวิทยาศาสตร์ เรียนสายวิทย์ไง จริงๆ อยากสอบโบราณคดี สอบติด
อันดับที่ประมาณ 49 เราก็รู้สึกว่าเราก็เรียนไม่ได้เรื่องได้ราวแต่เราก็สอบติด
 
ตั้งใจอยู่แล้วใช่มั้ย ว่าจะเรียนต่อ
รู้ไง คือเราสอบได้หมดเลย พวกทหาร นายสิบ ตำรวจ ทหารอากาศ แต่รู้ว่าเราก็คือ ไม่เรียน คือ
ถ้าเราเลือกทหารเราก็รู้ว่าไม่ต้องใช้ตังค์หรอก แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบชีวิตทหาร
 
แล้วในที่สุดก็ค้นพบว่าอยากเป็นนักเขียน
ตอนนั้นเข้ามากรุงเทพ (ประมาณปี 28) มาสอบเข้าหลังจบม.6 นอนอยู่ที่พอพักรุ่นพี่ที่โรงเรียน
ชลประทาน ใกล้วัดชลประทานรังสฤษดิ์ เดินมาแผงหนังสือเจอฟ้าเมืองทอง เปิดพลิกๆ ดู เฮ้ย
เรื่องสั้นเว้ย ไม่เคยรู้จักมาก่อน
 
เพิ่งเคยเห็นเลยเหรอ-
เออ เฮ้ย มันน่าสนใจเว้ย ก็คือ เอาละวะืกูกลับไปเป็นนักเขียนดีกว่า
 
รู้ได้ยังไงว่าเป็นนักเขียนยังไง
ไม่รู้หรอก คืออ่านแล้วมันน่าสนใจ
 
แล้วซื้อหนังสือเล่มนั้นมาหรือเปล่า
ไม่ได้ซื้อ ยืนอ่าน ไม่ค่อยมีตังค์ ตังค์กินข้าวยังไม่ค่อยมี
 
คิดขึ้นมาเองเลยเหรอ ว่าจะเป็นนักเขียน ึ
อื้อ รู้สึกว่ามันถูกจริตชิบหายเลยไง คือตั้งใจเลย
 
เป็นเป้าหมายแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย-
ก็คือตั้งใจเลย รู้สึกชีวิตมันน่าจะมีเสน่ห์ ทำไร่ไปด้วย เขียนหนังสือไปด้วย น่าจะมีอะไรบางอย่าง
ก็กลับบ้านเลย ไม่สอบอะไรแล้ว บอกแม่ว่าจะไม่เรียนอะไรต่อแล้ว
 
 บอกแม่หรือเปล่าว่าจะเขียนหนังสือ-
ก็บอกนะ เขาก็ไม่เข้าใจเราหรอก เขาก็อยากให้เราช่วยทำไร่เต็มที่มากกว่า บางทีเราก็ไม่ได้ออก
ไร่ทุกวันไง บางทีเราก็เขียนหนังสือ นั่งในกระท่อมทำท่าเขียนหนังสือไป แกกลับมาเหงื่อซ่ก ก็มี
อารมณ์มั่ง
 
ทำไร่นี่ทำอะไรบ้าง
ไร่อ้อยนี่มีนก็มีงานตลอดล่ะ ดายหญ้า พรวนดิน งานหนักอยู่ ร้อนชิบหายเลย คันก็คัน
 
ได้เงินยังไง
เป็นเงินที่โหดรายมาก ปีหนึ่งตัดแต่ 1 ครั้ง บางทีแทบจะไม่เหลือเลลย ค่าปุ๋ย ค่าอะไร ตันนึงไม่
กี่ร้อยบาท ปัจจุบันก็ยังไม่ขึ้น เป็นพืชเชิงเดี่ยวที่ไม่มีเสน่ห์อะไรเลย ร้อน แล้งมาก ต้นไม้ต้นไร่
ต้องตัดออกหมด เพราะถ้าเป็นร่มแล้วจะไม่ค่อยงาม เราจะอยู่ในร่องอ้อยไง พออ้อยโตแล้วมัน
บังหัว จะรู้สึก โลกมันมืดทิดจังเลย นายังดีกว่า นายังมีน้ำ มีอะไรให้ชื่นใจ
 
จากนั้นก็ไปเป็นทหารเกณฑ์ก่อน ด้วยเหตุผลของเมาๆ ทำไม-
ไปรับจ้างตัดอ้อย ก็เมาๆ กัน เพื่อนชวนไปว่าเอ๊ย สมัครดีกว่าว่ะ ใจง่าย (หัวเราะ) ไม่ได้เตรียม
อะไรไปเลย ธรรมดาวุฒิ ม. 6 เป็นปีเดียว นี่ไม่เอาไปเลย เพื่อนแม่งก็หักหลัง มันเอาวุฒิไป มัน
เป็นปีเดียว เราเป็น 2 ปี ไปถึงก็ไม่ต้องรออะไรทั้งสิ้น สมัครเลยครับ กลับก่อนคนอื่นเลย พวกก็
รีบคว้าเลย สมัครนี่ชอบมาก ม.19 (ม้า 19)
 
โหดนี่ พันสิบเก้า
โโหกมากนะ พวกที่ไปตกลพบุรีนี่เล่าว่าโดนทำโทษสก็อตจั๊มพ์ ไม่เกิน 50 ครั้ง แต่เรานี้แม่ง กิน
ขี้ กระโดดน้ำขี้ โดนเตะ โดนตี โดนต่อย
 
มีใครตายมั้ย
ไม่มี แต่ก็กึ่งพิการ โดนเตะขาเสียมั่ง กรามร้าวมั่ง แต่เราค่อนข้างทน ไม่หน้าสามตีหลัง ให้กอ
ดอกแล้วตี บึ้ม เสียงมันสะท้อนตึก เจ็บสิ จุก
 
ไหนว่าไม่ชอบกฎเกณฑ์ ก็มาเป็นทหาร
เราก็พูดไม่ออก เพราะเราสมัครไง รู้สึกนำตาซึมตลอด  เราเลือกแล้ว ทำไงได้ ระบบนี้มันไม่ให้
เถียงอยู่แล้ว เถียงยิ่งหนัก โดยเตะก็ต้องขอบคุณครับ โดนต่อยก็ต้องขอบคุณครับ
 
ให้อะไรมั้ย
ไม่ให้อะไรเลย ระเบียบวินัยไม่ได้เลยเรา  เหมือนเดิม แต่ตอนที่อยู่มันเข้าไปแล้ว เกิดหนีมา
เพื่อน พ่อแม่ เดือดร้อน เราก็ก้มหน้ารับไป เหมือนกับว่า เราเลือกร้านเหล้าแล้ว ถ้าคุณเลือก
ร้านนี้แล้วจะมาบ่นทำไมเรื่องรสอาหาร เรื่องอะไรต่ออะไร เมื่อคุณเลือกมันเองก็ยอมรับมันสิ
มันหนักแค่ช่วงฝึก 2 เดือน พอขึ้นกองร้อยแล้วก็ไม่มีอะไร ก็เข้าเวรตามปกติ เขาเลือกให้มาอยู่
ร้านสหกรณ์ของกองพัน มีอะไรกินเยอะเลย กินฟรีมั่ง บุหรี่ก็มีให้สูบ ลักสูบมั่ง
 
โดนทำโทษแรงที่สุด
ก็กินขี้ ขี้ผู้ช่วยครูฝึก เขาไปขี้ไว้ในส้วม แล้วก็โทษพวกเราร้อยคนว่ามีใครคนใดคนหนึ่งขี้แล้วไม่
ราดส้วม ก็รับผิดชอบร่วมกัน ก็ให้เอานิ้วไปจิ้ม ให้ติดขี้ แล้วยังไม่ได้ให้กินเลยนะ ให้เดินไปโรง
เลี้ยงกินข้าวเช้า เดินไป (ทำท่างอนิ้ว) กินข้าวกับไข่พะโล้ ก็เหลืองๆ ไง ก็เตรียมกันไว้แล้วล่ะ
กินข้าวเสร็จก็สั่งให้รูด ให้รูดให้หมด คือขี้ยิ่งตากลมยิ่งเหม็นไง สดๆ อาจจะไม่เหม็นมาก
ก็มีกินอะไรพิเรนทร์ๆ มาตลอด
 
แต่เรื่องราวพวกนี้มาอยู่ในงานเขียนมากๆ เลย
ก็มันกดดันมากๆ ไง ความกดดันมันเป็นพลังอย่างหนึ่ง
 
เขียนตอนนั้นเลยหรือเปล่า
ไม่ใช่ ตอนนั้นเขียนบทกวีมากกว่า ไม่มีเวลามาเขียนเรื่องสั้น มาเขียนหลังๆ แล้ว
 
ที่ค่ายทหารรู้หรือเปล่าว่าเขียนหนังสือ
ตอนขึ้นกองร้อย(หลังฝึกแล้ว) ก็เอาเรื่องสั้นที่ได้ลงในฟ้าเมืองทองไปขู่ผู้กองเลย ผมเขียน
หนังสือนะ เขาก็คงกลัวๆ อยู่ กลัวมีการแฉอยู่เหมือนกัน ไอ้เล่มนั้นก็หายไปเลยล่ะ  ช่วงนั้นได้
ลงฟ้าเมืองทอง 2 เรื่อง บทกวีอีกนิดหน่อย
 
หลังจากนั้น
พอหลุดทหารมา ก็ไปแล้ว เข้าชลบุรี มีเพื่อนอยู่ ชวนไปทำงานโรงงาน ทำงานโรงงานก็เหมือน
กับอยู่ค่ายทหารนั่นล่ะ อยู่ห้องพักก็อึดอัด
 
เปลี่ยนมาคุยเรื่องความรัก-เราถามว่า-
หลงรักผู้หญิงตอนไหน
ก็รักแบบเด็กๆ น่ะ ตอนป.4 ก็หลังรักเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รักแบบบริสุทธิ์ๆ ที่เอามาสร้างเป็นเฌอ
มาลย์ (ในบ้านแม่น้ำ) พอตอนมัธยม ส่วนมากจะรักหลาย ๆคน รักแล้วเอามารวมๆ กัน ไม่หนุ่ม
มากหรอก เด็กบ้านนอกยังไม่โตเร็วเท่าไหร่ ม4 ม5 ยังรู้สึกแบบเด็กๆ ยังไม่มีอะไรพวกนี้เท่าไห
ร่
 
เคยคิดคาดหวังเรื่องครอบครัวมั้ย ทำนองว่าอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้
เคยคิดกับครูมากกว่า (หัวเราะ) อยากแต่งงานกับครูคนนี้ ทำไมดูอ่อนโยนจังเลย ตอนนั้น ม1
เจอครูคนนี้ รู้สึกว่าเขารัก ห่วงใยเราเหลือเกิน เราก็เอาไปฝันว่าอยากแต่งงานกับคนนี้เหลือเกิน
คิดแบบเด็กๆ
 
พอโต เป็นชีวิตจริงล่ะ
ตอนนั้นเราขี้อาย ไม่กล้าคุยกับผู้หญิง บางคนเขาก็ชิ่งไปก่อน เขารอไม่ไหว ก็ยังขี้อายจน
ปัจจุบันนี่ล่ะ
 
แล้วเรื่องเซ็กซ์ครั้งแรก
เซ็กซ์ไม่ใช่ความรัก เราโตช้า จบม6 แล้วเพื่อพาไปซ่อง นั่นคือครั้งแรก
 
เคยมีเรื่องจากผู้หญิงบ้างมั้ย
เราจะไม่ก้าวก่ายผู้หญิงของใครนะ ถ้ารู้ว่ามีแฟนแล้วเราจะไม่ยุ่งเลย นอกจากเขาไม่มีใคร ก็จีบ
แบบห่างๆ ชอบเขียนบทกวีให้ผู้หญิง ก็พูดไม่เก่ง ก็เขียนหนังสือ
 
ผู้หญิงที่จีบติดเป็นคนแรกล่ะ
สมัยเป็นกรรมกรโรงงานที่ชลบุรี ผู้หญิงทำบัญชี ก็ชนชั้นมันห่างกันหน่อย ผู้ชายเป็นกรรมกร
ตอนนั้นก็ฮือฮาอยู่ คล้ายๆ ทลายพรหมแดนอะไรบางอย่าง ก็เดินจับมือกัน แบบวัยรุ่นๆ หน่อย
เดินไปส่งเขาขึ้นหอพัก เดืนจับมือกันแบบเด็กๆ เหวี่ยงมือด้วย ดูภาพแบบเด็กๆ คือไปส่งเขาก็รู้
สึกดีแล้วไง แต่จากนั้นคือแม่เขาไม่ชอบเรา วันนั้นเขาบอกว่าวันนี้แม่มานะ ไม่ต้องขึ้นไปหรอก
เราก็ดื้อ ทำไมเราจะเจอแม่ไม่ได้ ขึ้นไปก็จบเลยวันนั้น แม่เขาบอกว่าอย่ามายุ่งกับลูกสาวเขาเลย
ลูกสาวเขากำลังเรียนต่อด้วย ทำงานด้วยเรียนต่อด้วย เขาก็ขอร้อง เราก็ฟังเฉยๆ แต่วันรุ่งขึ้น
เขาก็สั่งลูกเขยคนโต เขาเป็นคนเจ้าถิ่น พาเพื่อนมาล่า เราได้ยินจากเพื่อนผู้หญิงว่าเมื่อคืนเขา
มาล่าคุณมากเลยนะ ค้นหา กะยำน่ะ แล้วเราก็ปรึกษาเพื่อน เออ พวกนี้มันมาล่าผมว่ะ ทำไงดี
วะ เราก็ไปหามันยันบ้านเลย เราก็มีเพื่อนเจ้าถิ่นเหมือนกัน นั่งมอเตอร์ไซค์ไป เรียกออกมาข้าง
นอกหน่อย ถามว่าเมื่อคืนได้ข่าวว่าคุณไปล่าผมเหรอ มันก็ยอมรับ แต่ก็บอกว่าเพื่อนมันให้ไป
มันไม่มีอะไร เราก็ชอบเคลียร์ตัวต่อตัวไง มีอะไรค้างใจก็คุยกันมา ก็เคลียร์ ก็จบ เราก็เลิกกันไป
กับผู้หญิง
 
หลังจากนั้นก็ย้ายงานไปอยู่ที่ระยองเลย-
เป็นหัวหน้าคนงาน
 
ได้ข่าวว่าช่วงนั้นเนื้อหอม
ก็มีเยอะอยูแหละ ช่วงนั้นหน้าตาสดใสอยู่ด้วย
 
มีใครที่ประทับใจมากๆ
เรามักจะเจอผู้หญิงที่หึงๆ มากๆ เรามักจะยอมไม่ได้  เรารู้สึกว่าทำไมต้องมาปิดกั้น คือถ้าคบ
กับเขาแล้วคุยกับคนอื่นไม่ได้เลย ก็คือเลิกกันดีๆ นั่นล่ะ ก็มีคนหนึ่งเขามีอะไรเขาจะทำร้ายตัว
เอง ไม่พอใจเขาจะเอากรรไกรตัดเล็บจิ้มตัวเองมั่ง อะไรมั่ง เราก็อึดอัด ก็ไปส่งบ้าน กลับแยกกัน
ไปสงบสติอารมณ์แล้วค่อยคุยกันใหม่ คืออยู่ในเหตุการณ์แบบนี้เราไม่ชอบ บอกแล้วว่าไม่ชอบ
อะไรแบบนี้ เคยมีครั้งหนึ่งเขาขับรถ แล้วก็จอด แล้วเดินไปในความมืด เราก็ต้องขับเข้าบ้าน
เรือนไทย ไม่รู้ขับไปได้ยังไงยังแปลกใจจนทุกวันนี้ แล้วเดินตาม หาไม่เจอ พอเขามาเราก็ตบ
เตือนสติไปทีนึง ไม่แรงหรอก เตือนสติ คือจริงๆ ก็ห่วงนั่นล่ะ เดินไปทำไมในความมืด มัน
ประชดประชันเยอะ เรารู้สึกแย่จังเลย
 
สรุปว่าไม่ประทับใจใครเหรอ
คือผู้หญิงที่เรารักมักจะไม่ได้ไง มักจะเจอประเภทเจอหน้ากัน มีอะไรกัน ไม่ใช่ความรักเลย อาจ
เป็นความใคร่ ล้วนๆ ก็เลยอยู่กันไม่ค่อยยาวนานเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จักกันแท้จริง ผู้หญิงที่เรา
หลงรักก็ไม่กล้าเข้าไปคุยกับเขา มีบาปอะไรไม่รู้
 
แล้วมองความรักว่าเป็นยังไง
จริงๆ ไม่ค่อยเชื่อความรักนะ จะหาคนที่เข้าใจกันมากกว่า เข้าใจว่าเราเป็นอย่างนี้ รับเราได้มั้ย
เราไม่เคยปิดบัง ไม่เคยซ่อนเร้น ไม่เคยบอกว่าผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ คือทำให้เห็น รับได้ก็
คือรับได้ อยากได้อย่างนั้นมากกว่า จริงๆ เราไม่ใช่คนเจ้าชู้ไง เกิดเราเจอผู้หญิงอย่างนั้น เราก็
ยอมหมดล่ะ ต้องการคนเข้าใจมากกว่า อย่างบางครั้งเราเมา ลุกไม่ขึ้น ขอน้ำกินสักแก้วก็รู้สึกดี
แล้ว
 
ความรักต่อลูกสาวชื่อเพลงน้ำ
 
ทำไมชื่อเพลงน้ำ
รู้สึกชอบน้ำ ชอบฟังเสียงน้ำ ชอบฟังเสียงธรรมชาติ ฟังลม น้ำ ใบไม้โบก
 
ตอนลูกลูกเกิดเป็นอย่างไร
เป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตเรื่องหนึ่ง ตอนแรกก็คิดว่าเราเลี้ยงลูกไม่ได้ แต่ เอ๊อ..เราเลี้ยงได้นี่หว่า
เลี้ยงดีด้วย ทำให้เราละเอียดอ่อนด้วย ขัดเกลาเราเยอะ
 
แต่เขาสารภาพว่า
จริงๆ แล้ว เพลงนี่เราสารภาพว่าเราไม่พร้อมที่จะมีนะ เราก็เห็นแก่ตัวนะ สภาพเราไม่พร้อมที่จะ
มีลูก ไม่มีวัตถุ ไม่มีอะไรเลย สุดท้ายเขาก็มี เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ผิดพลาดมากๆ มีลูกตอนยังไม่
พร้อมมันบาปมากๆ แต่พอมีแล้วเราก็รับไง แต่ถ้าเราพร้อมนะ มันก็อยากมีอยู่แล้วล่ะ ไม่ใช่ไม่
อยากมีลูก อยากมีเมื่อเราพร้อม ด้วยความที่เราพร้อม จริงๆ ไม่มีใครอยากสร้างปมด้อยให้ใคร
การที่ไม่พร้อมมันคือปมด้อยของเด็ก พ่อแม่อยู่ไม่พร้อมหน้ากัน เป็นความผิดที่เยอะอยู่
แต่มันก็ทำให้เราละเอียดอ่อนมากขึ้น
 
 
ตอนเห็นหน้าลูกรู้สึกยังไง
ก็ตื่นเต้นล่ะ เป็นยังงี้เองเหรอ ตอนเกิดก็เลี้ยงมาด้วยกันกับแม่เขา สามเดือนแรก เขาลางาน พอ
จากนั้นก็เลี้ยงเองคนเดียว ลูกหลับก็ซักผ้าอ้อม แต่ว่าบรรยากาศคือยุงเยอะ
เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต  คือเราเลี้ยงแบบโบราณๆ ไม่ตามใจมากหรอก มีตีบ้าง
บางทีร้องเพลงกล่อมครึ่งวันแม่งไม่ยอมหลับ นอนยิ้มอยู่นั่นแหละ ก็โมโหเหมือนกันแหละ เราก็
ง่วง ยืนไกวเปลครึ่งวัน คือเราเป็นคนที่ไม่นั่งแกว่ง ไม่นอนแกว่ง ชอบยืนแกว่ง ครึ่งวันทำไมไม่
หลับวะ ชอบเลี้ยงลูกแบบให้มันกินดินกินทรายบ้าง คลานดิน แม่เขาบางทีก็ไม่ชอบ เราก็คิดว่า
ทำไมล่ะ ดินมันก็กินได้
 
ช่วงที่เลี้ยงลูกนั้น ทำให้เลิกกินเหล้าได้-
ทำให้อดเหล้าได้ครึ่งปีนะ รู้สึกว่ากลัวว่าจะทับลูกตาย เพราะมันมีคนที่เมาแล้วทับลูกตาย เวลา
เราเมาเราจะไม่รู้ตัว หยุดบุหรี่ได้ครึ่งปี คือตอนเวลาที่เราอุ้มลูกแล้วสูบบุหรี่มันไม่ดีเลย บางทีลูก
ก็เอามือมาแหย่ไฟเล่น มันไม่ดี
 
ดื้อมั้ยลูกสาว
ก็ดื้อของมันนะมีหวีดมีอะไรของมันบ้าง ถ้าขัดใจก็หวีด เราไม่ค่อยชอบ
 
ทำไงเวลาลูกดื้อ
ตีก้น
 
ร้องมั้ย
ร้องแบบน้อยใจ  ตีไปแล้วเราก็รู้สึกว่าเราตีตัวเองมากกว่า มันกลับมาหาตัวเรา เออ ไม่น่าทำ
เราเจ็บกว่า ตอนลูกสาวไม่อยู่แล้วก็นึกถึงภาพตอนเราตีมัน มันมองเรา แล้วก็นอนก้มหน้าร้อง ก็
สะเทือนใจ คิดถึงภาพนั้นเราก็จะร้องไห้ตลอด คล้ายๆ ว่าการกระทำนั้นมันกลับมาหาเรา เราก็
เจ็บล่ะ
 
กับแม่ของลูกล่ะ
ก็เป็นเพื่อนกัน เราไม่ชอบความรู้สึกกำกวม บางครั้งเราก็คิดว่าเรารู้จักกันน้อยไป เราใจง่ายเกิน
ไป เราไม่รู้จักกัน ไม่สามารถยึดโยงกันได้ ขาดความเป็นเพื่อนกันมาก่อน
 
ตอนที่ลูกสาวกลับไปอยู่กับแม่เขาล่ะ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกือบตาย ตายซาก  แม่เราก็กังวลเรามาก ตอนนั้นกินข้าวก็ร้องไห้ เคยบดข้าว
ป้อนให้ก่อน เวลากินข้าวก็ให้ลูกกินก่อน ตอนนั้นเรากินข้าวน้อยมาก ไม่พูดกับใครเลย นั่งตา
ขวาง  มองขื่อไม่ได้เลย จินตนาการว่าผูกคอตาย หลอน มาขอนอนกับแก รู้สึกมีใครให้เรายึดได้
บ้าง
 
ร็สึกว่าเป็นพ่อที่แย่มั้ย
ก็เป็นพ่อที่แย่ แต่ถ้าเรากระโจนไปแล้วเราก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเหมือนกัน แม่เราเองยังบอกว่า
พ่อเราเองไม่เคยเลี้ยงลูกไง เห็นเราเลี้ยงลูกได้เขาก็งง ผู้ชาย ความเป็นแม่ก็มีอยู่ในตัวเราเยอะ
จะออกมาเมื่อไหร่เท่านั้นเอง
 
เขาพูดถึงความรู้สึกต่อแม่
ถ้าเกิดแม่ตายเราจะตายตามแม่หรือเปล่า เราคิดมากตั้งแต่เด็ก บอกแม่ว่าถ้าเกิดแม่ตายผมคง
ตาย โลกนี้มันไม่มีอะไรที่จะอยู่ เปราะมากๆ เลย มันมองภาพไม่ออก ทุกวันนี้ยังคลี่คลายปมนี้
ไม่ออกเลย แม้กระทั่งว่าความตายเป็นอนิจจัง แต่เราก็คิดภาพไม่ออกว่าถ้าแม่ตายเราจะทำได้
หรือเปล่า ระงับสติอารมณ์ตรงนั้นได้หรือเปล่า คือคล้ายกับแกเป็นคนสุดท้ายในโลกแล้ว ที่เรารู้
สึกว่าเราอยู่ได้เพราะมีแม่ มีไว้ให้คิดถึง ถ้าแม่ไม่มีแล้วเรายังไม่ตายเราอาจจะเตลิดไปเรื่อย ไม่
กลับบ้านเลย
 
แล้วเพลงน้ำล่ะ
ลูกมันยังไม่ได้นะ ถึงที่สุดแล้ว เราคิดถึงแม่มากกว่า ลูกเรารู้สึกว่ามันยังมีเวลาอีกยาวนาน มันโต
แล้วอาจจะด่าเราชิบหายก็ได้ (หัวเราะ)
 
แล้วเรื่องคู่ชีวิต
สุดท้ายแล้วเราอาจจะไม่มีก็ได้ ถึงที่สุดเรารู้สึกว่าเราโดนเรียกร้องมากไป เราอาจจะไม่เลย
บางคนก็รู้สึกว่ามีอาการหึงหวงอะไรกัน เราไม่ชอบไง แสดงว่าไม่เข้าใจเราจริง นั่นมันรูปธรรมไง
ไม่เข้าในนามธรรมไง  การหึงหวงบางทีมันก็ไม่เคารพซึ่งกันและกัน ผู้ชายมันก็มีเถลไถลบ้าง
แต่สุดท้ายมันก็ตายรัง ด้วยความอดทนของผู้หญิงคนหนึ่ง คือค