มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

การเดินทางข้ามพรมแดน-จากวรรณกรรมสู่แผ่นฟิล์ม โธมัส มันน์ “ความตายที่เวนิส”

 

 
บทความเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเจริญพระชนมายุ 50 พรรษาใน พ.ศ.2548 ในโอกาสนี้คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะได้จัดการประชุมทางวิชาการเพื่อเสนอผลงานวิจัยของคณาจารย์ภายใต้กรอบโครงการวิจัยหัวข้อ "การเดินทางหลายมิติหลากพรมแดน" ณ อาคาร มหาจุฬาลงกรณ์ ห้อง 102 103 และ 105 เวลา 09.00-16.00 น. วันที่ 24 สิงหาคม 2549 มีผลงานวิจัยหลายสาขา : วรรณกรรม ศิลปการละคร ภาษา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ศิลป์ ฯ ขอเชิญผู้สนใจเข้าฟัง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ กรุณาติดต่อฝ่ายวิจัย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทรศัพท์ 0-2218-4899 
 
บทนำ-จากวรรณกรรมสู่แผ่นฟิล์ม 
 
การเดินทางของนักประพันธ์ กุสตาฟ ฟอน อัชเชินบัค (Gustav von Aschenbach) ในนวนิยายขนาดสั้น (Novelle) "ความตายที่เวนิส" (The Death in Venice / Der Tod in Venedig 1912) ของ โธมัส มันน์ (Thomas Mann 1875-1955) นักประพันธ์ชาวเยอรมันเจ้าของรางวัลโนเบลในปี ค.ศ.1929 เป็นการเดินทาง "ข้ามพรมแดน" ในหลายแง่มุมและหลายมิติ การสร้างภาพยนตร์จากวรรณกรรมชิ้นนี้ที่ประสบความสำเร็จมากคือผลงานของผู้กำกับชาวอิตาเลียน ลุคิโน วิสคอนติ (Luchino Visconti 1906-1976) ในปี ค.ศ.1971 ที่ได้รับยกย่องจากผู้วิจารณ์หลายคนว่า สามารถรักษาอรรถรสทางวรรณศิลป์ไว้ได้ผลงานวรรณศิลป์สู่ภาพและเพลงในภาพยนตร์ได้อย่างมีศิลปะ โดยไม่ต้องตัดทอนเนื้อเรื่องให้สั้นลง ดังเช่นการสร้างภาพยนตร์จากนวนิยายขนาดยาวเรื่องอื่นๆ ของ โธมัส มันน์ เช่น "บุดเดินบรุคส์" (Die Buddenbrucks) 
 
และสามารถถ่ายทอดบรรยากาศ ความคิด และอารมณ์ของตัวเอกเป็นเรื่องราวในภาพยนตร์ในรูปของเพลงและภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างลุ่มลึกในเชิงจิตวิทยาอีกด้วย 
 
การเดินทางสู่ "เวนิส" และการเดินทาง "ภายในจิตใจ"-จากสังคมแห่งวัฒนธรรมกระฎมพีสู่เวนิส-แดนเสรีแห่งยุโรปใต้ 
 
ในงานวรรณกรรม โธมัส มันน์ เริ่มต้นเรื่องตรงจุดที่บรรยายถึง กุสตาฟ ฟอน อัชเชินบัค ตระหนักดีถึงเกียรติยศที่ได้รับในฐานะนักประพันธ์ใหญ่ของประเทศและภาระอันหนักหน่วงที่จะต้องรักษาเกียรติยศสร้างสรรค์งานประพันธ์คุณภาพไว้ เขาได้พบกับชายประหลาดระหว่างเดินเล่นในเมืองมึนเชินซึ่งกระตุ้นความรู้สึกกระหายที่จะเดินทางอย่างรุนแรงหาสาเหตุไม่ได้ อัชเชินบัคจึงตัดสินใจพักงานทั้งหมด เดินทางไปพักผ่อน ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งห่างไกลจากบรรยากาศเดิมๆ ของเมืองมึนเชินในเยอรมนีบ้านเกิด สู่นครเวนิส ที่ซึ่งเขาพบเด็กหนุ่มรูปงาม ที่ทำให้เขาหลงใหลสมัครใจที่จะอยู่ในเมืองต่อจนติดโรคร้ายและ เสียชีวิตที่เวนิสนั่นเอง 
 
"เวนิส" แห่งยุโรปใต้ "ดินแดนเสรี" ที่อากาศร้อนชื้น อาบด้วยแสงอาทิตย์ฟ้าจรดทราย ท้องทะเลลึกสีครามที่มาผสานบรรจบกับลำคลองท้องน้ำ ตึกรามวัดวังในตัวเมืองและเรือกอนโดลา สีนิล 
 
เวนิสเป็นจุดหมายปลายทางด้วยของการเดินทางของ กุสตาฟ ฟอน อัชเชินบัค นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ผู้มีชื่อเสียงจากมึนเชิน "โดยบังเอิญ" ผู้คนทั่วไปส่วนใหญ่อาจจะวางแผนเดินทางพักผ่อนไปยังสถานที่พึงใจล่วงหน้า แต่การเดินทางของอัชเชินบัคเกิดขึ้นค่อนข้างกะทันหันและเป็นความบังเอิญที่แปลกประหลาด 
 
มันเกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่มึนเชิน นักประพันธ์วัยเกิน 50 ปีผู้ตรากตรำเหน็ดเหนื่อยกับงานเขียนในช่วงเช้า ได้ออกจากที่พักเพื่อไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศ ในระหว่างเดินทางกลับบ้าน อัชเชินบัคยืนรอรถรางที่หลังบ้านช่างสลักหินและแท่งไม้กางเขนสำหรับสุสาน ทางที่ได้นำเขาไปยังโบสถ์แบบไบเซนไทน์ ที่นั่น อัชเชินบัคเขาได้พบชายแต่งกายสะพายเป้แบบคนเดินทางผู้หนึ่งที่มีลักษณะแปลกยืนอยู่ใต้รูปปั้นสัตว์หน้าตาน่าสะพรึงกลัวสองตัวที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าบันไดโบสถ์ 
 
สิ่งที่น่าฉงนสนเท่ห์สำหรับอัชเชินบัคยิ่งกว่ารูปลักษณ์ที่ประหลาดของชายผู้นั้นก็คือ ความรู้สึกถวิลหาลึกๆ ของเขาที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันที่จะเดินทางไปยังดินแดนไกลที่ผสมผสานกับ ความรู้สึกเดิมที่ฝังใจเขาอยู่นานแล้วว่า ต้องการเดินทางไปพักผ่อนละจากงานหนักจากภาระหน้าที่ 
 
นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการเดินทางเชิง "รูปธรรม" ที่มีต้นตอจากความปรารถนาที่จะเดินทางภายในจิตใจอยู่นานแล้ว สู่เกาะเล็กๆ ในทะเลอาเดรียติกและจบลงที่เวนิสในที่สุด 
 
ในวรรณกรรม เราได้รู้ถึงอุปนิสัยใจคอของอัชเชินบัคและแนวงานประพันธ์ที่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะของเขา บุคลิกที่มั่นคงของอัชเชินบัคคือ เขาเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่น มีเหตุผล ระเบียบแบบแผน และทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ไม่ยอมพ่ายแพ้อุปสรรคใดๆ ไม่ย่นย่อต่อความเหนื่อยล้าหรืออารมณ์ ปรารถนาและกิเลสตัณหาที่ขัดต่อศีลธรรม มีความทะเยอทะยานที่จะผลิตผลงานศิลป์อันสูงส่งโดดเด่น เพื่อให้ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ 
 
ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการอบรมแต่เยาว์วัยสั่งสมมาแต่รุ่นบรรพบุรุษจากครอบครัวทางฝ่ายบิดาผู้ล้วนเป็นผู้มีเกียรติรับราชการกับรัฐและพระเจ้าแผ่นดิน 
 
ส่วนมารดาของเขาเป็นสาวผิวคล้ำ อารมณ์ร้อนแรง เป็นบุตรีของหัวหน้าวงดนตรีชาวโบฮีเมียนที่ได้ให้กำเนิดศิลปินผู้มี "คุณสมบัติพิเศษของศิลปิน" ทำให้อัชเชินบัคกลายเป็นศิลปินผู้มีอารมณ์อ่อนไหว มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา สามารถสังเกตความรู้สึกนึกคิดและสิ่งรอบตัวได้ละเอียดลออเป็นเยี่ยม 
 
การเดินทางไปยังเวนิสที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้จึงมีความสองนัยแต่หลายซับหลายซ้อน อีกทั้งยังแฝงสัญลักษณ์เชิงสังคมและจิตวิทยาไว้ด้วย การเดินทางที่เกิดขึ้นจริงทางกายภาพในเรื่อง "ความตายที่เวนิส" เป็นการเดินทางของนักเขียนเยอรมันนามกระเดื่องจากมึนเชินดินแดนหนาวเย็นของยุโรปกลางและสังคมเยอรมันของชนชั้นกลางที่เต็มไปด้วยระเบียบแบบแผนสู่เมืองร้อนชื้นชายทะเลของยุโรปใต้-เวนิส 
 
ในอีกแง่หนึ่ง การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางภายในจิตใจ เป็นการผละจากภาระหน้าที่ของนักประพันธ์ใหญ่ไว้เบื้องหลัง บุคลิกอันแปลกประหลาดของชายแปลกหน้าสะพายเป้สวมหมวกฟางปีกกว้างแบบคนเดินทางชาวบาเยินอันเป็นสัญลักษณ์ของเฮอเมส เทพแห่งการเดินทางในปกรณัมกรีก ที่อัชเชินบัคพบโดยบังเอิญในระหว่างเดินเล่น ได้กระตุ้นให้เขาโหยหาที่จะเดินทางไกลอย่างฉับพลัน เป็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในจิตส่วนลึกและถูกกดดันไว้มานานแล้ว 
 
และในที่สุดชะตากรรมก็ได้พานักเขียนใหญ่ผู้นี้ไปพบกับความยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณที่เขาเชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของ "ความงาม" อันทรงคุณค่าสำหรับเขา ความงามนั้นมาในรูปของเด็กหนุ่ม "ทาทจู" ผู้นำทางเขาสู่ดินแดนมรณะเช่นเดียวกัน 
 
ดังนั้น การเดินทางท้ายที่สุดคือ การนำวรรณกรรมมาเสนอในรูปของภาพยนตร์ เป็นการเดินทางจากสื่อศิลปะหนึ่งสู่สื่อศิลปะอีกแขนงหนึ่ง 
 
 
โธมัส มันน์-มหากวีแห่งเยอรมนียุคใหม่-งานเขียนและแนวการประพันธ์ท่ามกลางกระแสแห่งยุคสมัยในเยอรมนีและยุโรปช่วงเปลี่ยนศตวรรษ 
 
โธมัส มันน์ (Thomas Mann 1876-1955) นักเขียนเยอรมันแห่งศตวรรษที่ 20 มิได้ยิ่งใหญ่เพียงเพราะได้รับรางวัลโนเบลด้านวรรณกรรมในปี ค.ศ.1929 จากนวนิยายขนาดยาวสองเล่ม เรื่อง "บุดเดินบรุคส์" (Buddenbrooks) ที่แสดงถึงการล่มสลายของครอบครัวคหบดีแห่งเมืองลือเบคเท่านั้น แต่ โธมัส มันน์ เป็นนักประพันธ์เช่นเดียวกับศิลปินคนอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากสังคม วัฒนธรรม ผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมทั้งได้รับอิทธิพลจากนักคิดหรือแนวคิดและวิธีมองโลกของยุคที่ล้วนสะท้อนให้เห็นในผลงานประพันธ์ในยุคของท่าน อันได้แก่ 
 
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุโรปอันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุสาหกรรมช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ข้ามสู่ศตวรรษที่ 20 ที่นำ โลกเข้าสู่ระบบทุนนิยม นำยุโรปสู่นโยบายการเมืองล่าอาณานิคม ลัทธิถือเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ (Racism) รวมทั้งสร้างกระแสชาตินิยมของหลายชาติหลายเผ่าพันธุ์ในยุโรปที่ต้องการเป็นอิสระทางการเมืองและวัฒนธรรม 
 
ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้นำไปสู่ความสับสนผสมผสานกลายเป็นกระแสแห่ง "ความล่ม สลายแห่งมนุษยชาติ" หรือ "Fin de Siecle" อันเป็นนามเรียกขานที่เหล่าศิลปินและปัญญาชนยุโรป เรียกยุคสมัยที่ปั่นป่วนเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงทั้งเหตุการณ์ภายนอกในและภายในทางจิตใจและศีลธรรม รวมทั้งนำไปสู่กระแสศิลปะแนว "อวอง-การ์ด" (Avantgarde) ที่ไม่แสดงเอกลักษณ์ของงานศิลป์ที่ชัดเจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดังเช่นแนวศิลปะในยุคที่ผ่านมา ผลงานของศิลปินทั้งหมดเป็น "ผลพวง" จากกระแสแห่งยุค และในขณะเดียวกันก็เป็น "ตัวกำหนด" แนวทางงานศิลปะแห่งยุค 
 
ดังปรากฏในผลงานวรรณกรรมของ โธมัส มันน์ ที่ได้รับอิทธิพลจากระแสแห่ง "ความล่มสลายของการสิ้นโลกของมนุษยชาติ" นี้ด้วย 
 
 
ปฐมกาลแห่ง "ความตายที่เวนิส" 
 
โธมัส มันน์ เริ่มเขียน "ความตายที่เวนิส" ในปี ค.ศ.1911 และตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1912 ใช้เวลาในการประพันธ์ Novelle เรื่องนี้เพียง 1 ปี คือ ระหว่างเดือนกรกฎาคม 1911ไปจนถึงเดือนกรกฎาคมปีถัดมา 
 
โธมัส มันน์ เป็นนักประพันธ์ที่ไม่เขียนหนังสืออย่างฉับพลัน แต่จะเป็นผู้ที่วางแผนโครงเรื่อง แก่นเรื่องของนวนิยาย เรื่องเล่า และ Novelle ทุกชิ้นก่อนลงมือประพันธ์ผลงานเหล่านั้น ท่านได้ร่างเค้าโครงบุคลิกของตัวเอก แก่นเรื่อง เค้าโครงเรื่องของ "ความตายที่เวนิส" ไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 
 
จากการค้นคว้า เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า โธมัส มันน์ ประพันธ์เรื่อง "ความตายที่เวนิส" หลังจากที่ได้ศึกษาทฤษฎีจิตวิทยาของ ซิกมุนท์ ฟรอยท์ และงานปรัชญาของ ฟรีดริช นีทเชอ มาแล้ว Novelle เรื่อง "ความตายที่เวนิส" ได้รับอิทธิพลความคิดจากปรัชญาของ ฟรีดริช นีทเชอ อาธัว โชเปนเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) รวมทั้งอิทธิพลของ ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) และกวีคนสำคัญของเยอรมัน โยฮัน วอล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่อ รวมอยู่ด้วย 
 
เราได้พบว่า การวิเคราะห์ที่มาของ Novelle เรื่อง "ความตายที่เวนิส" เฉพาะในแง่จิตวิทยาและปรัชญานั้นยังขาดแง่มุมและข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกหลายประการที่จะทำให้ความเข้าใจงานประพันธ์ และการตีความลุ่มลึกขึ้น ข้อเท็จจริงที่สำคัญนั้นมาจากประวัติชีวิตของผู้ประพันธ์คือตัว โธมัส มันน์ เองที่ท่านบันทึกไว้ในจดหมายถึงเพื่อนหลายฉบับ 
 
เป็นที่ทราบกันดีว่า โธมัส มันน์ สนใจชีวิตและพัฒนาการชีวิตของมหากวีเกอเธ่อโดยเฉพาะช่วงบั้นปลายชีวิตที่กวีผู้นี้พลาดหวังครั้งยิ่งใหญ่และพบกับความระทมในชีวิต นับเป็นประวัติชีวิตของกวีอายุ 70 ปีผู้เดียวดายและถูกปฏิเสธรักและการขอแต่งงานกับเด็กสาววัย 17 ปี ประสบการณ์ชีวิต ความรักครั้งสุดท้ายของเกอเธ่อต่อ อุลริเคอ ฟอน ลเวทโซ (Ulrike von Lwetzow) คือข้อมูลสำหรับงานประพันธ์ของ โธมัส มันน์ ที่ต้องการนำเสนอปัญหาเรื่อง "เกียรติยศของศิลปิน" และเสนอ "โศกนาฏกรรมชีวิต" ของกวียุคคลาสสิคผู้ยิ่งใหญ่อีกคำรบหนึ่ง เป็นประสบการณ์ที่เลวร้าย รุนแรง งดงาม แต่ก็บิดเบี้ยวและสะเทือนอารมณ์ในเวลาเดียวกัน 
 
เหตุใด "รักครั้งสุดท้ายของเกอเธ่อต่อเด็กสาวอายุ 17" จึงกลายเป็น "รักในความงามของเด็กหนุ่มทาทจู" โธมัส มันน์ ได้เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในจดหมายถึงเพื่อนสองคน ในปี ค.ศ.1911 เกี่ยวกับแผนของพล็อตเรื่อง "ความตายที่เวนิส" หลังจากที่ได้เดินทางไปพักผ่อนที่นั่นว่า 
 
"…เป็นเรื่องน่าประหลาดที่ว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้นำออกมาจากเมืองเวนิสก็คือ Novelle เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของความรักต่อเด็กหนุ่มของศิลปินสูงอายุคนหนึ่ง… " 
 
เหตุการณ์ในชีวิตจริงของ โธมัส มันน์ ที่เกิดขึ้นก็คือในปี ค.ศ.1911 นั้น ครอบครัวของ โธมัส มันน์ ได้เดินทางไปพักร้อนที่เกาะ Brioni จับเรือจาก Pola ต่อไปยังเวนิส พักอยู่ที่โฮเต็ล de Bains และได้ออกไปทัศนาจรพักที่ Como จนถึงวันที่ 2 มิถุนายน ปี 1911 
 
ที่นั่น โธมัส มันน์ ได้พบกับเด็กหนุ่มอายุ 14 Wladyslaw Baron Moes ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำหรับ "ทาทจู" ในเรื่อง "ความตายที่เวนิส" ส่วนประเด็นสำคัญสำหรับความตายของอัชเชินบัค ผู้ซึ่ง โธมัส มันน์ บรรยายให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคีตกวีออสเตรียกุสตาฟ มาเลอ อาจเป็นมรณกรรมของมาเลอเองที่ โธมัส มันน์ รู้ข่าวขณะกำลังพักผ่อนอยู่ที่เกาะ Brione ซึ่งหนังสือพิมพ์ในยุโรปรายงานข่าวว่าเป็น "มรณกรรมที่สมเกียรติเยี่ยงขุนนาง" เป็นไปได้ที่ โธมัส มันน์ ตัดสินใจสร้าง "ศิลปิน" ซึ่งเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตและต้องโศกสลดในชีวิตหลายเรื่องเยี่ยง กุสตาฟ มาเลอ ซึ่งเป็นผู้ที่ท่านรู้จักและยกย่อง 
 
ดูเหมือนว่า ข้อมูลสำคัญสำหรับ Novelle เรื่องนี้ได้สมบูรณ์แล้ว โดยศิลปินผู้หนึ่งที่ โธมัส มันน์ บรรยายให้มีชื่อหน้าและหน้าตาละม้าย กุสตาฟ มาเลอ ศิลปินผู้ที่ได้พบกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งทำให้เขาต้องก้าวเดินออกจากวิถีทางแห่งความแน่นอนและหน้าที่เคร่งครัดที่รัดตัวโดยสิ้นเชิง ตอนจบของเรื่องคือ ความตาย มีฉากท้องเรื่องเป็นเมืองเวนิส พร้อมด้วยส่วนประกอบอื่นๆ-ชายประหลาด คนพายเรือ กอนโดลา ฯลฯ 
 
หลังจากกลับจากการเดินทางพักร้อนครั้งนั้น โธมัส มันน์ ลงมือเขียน Novelle เรื่อง "ความตายที่เวนิส" ที่บ้านในมึนเชินทันที เรื่องนี้จบเรื่องบริบูรณ์ในเดือนกรกฎาคม ของปี 1912 ในอีก 1 ปีต่อมา 
 
ความงาม ความรัก และ ความตาย 
 
ในการประพันธ์เรื่อง "ความตายที่เวนิส" โธมัส มันน์ ได้รับอิทธิพลทางปรัชญาและจิตวิทยาจาก ซิกมุนท์ ฟรอยท์ ฟรีดริช นีชเชอ อาธัว โชเปนเฮาเออร์ รวมทั้งอิทธิพลทางดนตรีจาก ริชาร์ด วากเนอร์ และ กุสตาฟ มาเลอ ด้วย 
 
อิทธิพลทางจิตวิทยาจากฟรอยท์ที่ชัดเจนก็คือเรื่องราวของอัชเชินบัคเป็นเรื่องการกลับมาของพลังจากจิตใต้สำนึกที่ซ่อนลึกถูกเก็บกดไว้ในจิตใจรวมทั้งความปรารถนาที่จะแสวงหา "ความงามสมบูรณ์" ในรูปของความรักต่อเด็กหนุ่มชาวโปล "ทาทจู" การกลับมาของความปรารถนาสองอย่างที่ตรงกันข้าม แทนด้วยคุณสมบัติแบบ "อพอลโล" และ "ไดโอไนซุส" แห่งเทพปกรณัมกรีกในความฝันและความ คิดคำนึงของตัวเอกในวรรณกรรมอันเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่าง "สังคมของชนชั้นกลาง" คือ ภาระหน้าที่ ความผูกพัน กับกฎระเบียบ ประเพณี ศีลธรรมและเกียรติยศ (อพอลโล) กับ "ศิลปิน" หรือ "ศิลปะ" กับ "ชีวิต" (ไดโอไนซุส) ของศิลปินอัชเชินบัค 
 
นั่นคือ เสรีของปัจเจกบุคคลในขนบวัฒนธรรมตะวันตกที่แทนด้วย "ความรักต่อเด็กหนุ่ม" และ "ความตาย" อันเป็นกระบวนการที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของสังคมสู่เสรีภาพของปัจเจกบุคคลตามแนวปรัชญาของนีชเชอและโชเปนเฮาเออร์ 
 
สำหรับ โธมัส มันน์ "ปัจเจกบุคคล" และ "ความตาย" เป็นสองสิ่งที่มักจะมาบรรจบกันเสมอ ดังที่เราพบในงานประพันธ์หลายต่อหลายเรื่องของท่าน แม้ว่าในนวนิยายหรืองานเขียนส่วนใหญ่ของกวี ท่านอื่นมักบรรยายถึงความรักของชายหนุ่มต่อหญิงสาวซึ่งอาจจบลงด้วยหายนะของชายหนุ่ม แต่ใน "ความตายที่เวนิส" กลับเป็นเรื่องราวความรักของชายสูงอายุต่อเด็กหนุ่มที่นำเขาสู่หายนะและความตาย 
 
ในงานประพันธ์ของ กุสตาฟ ฟอน อัชเชินบัค ในเรื่อง "ความตายที่เวนิส" เขาให้คุณค่ากับ "ความงาม" สูงส่งเกินปกติธรรมดาไปสักหน่อย ความงามอันแท้จริงเป็นความบริสุทธิ์ สูงส่ง เรียบง่าย และคงที่อยู่เสมอไม่เสื่อมคลาย 
 
วิธีนำเสนอ "ความงามคงที่ไม่เสื่อมคลาย" ของ โธมัส มันน์ น่าสนใจตรงที่อัชเชินบัคมิได้พบความงามนั้นในทันที แต่เขาพบ "ผู้นำสารแห่งความงาม" ก่อนในรูปของชายประหลาดอัปลักษณ์ ณ โบสถ์ไบเซนไทน์อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ชายประหลาดเป็นสัญลักษณ์ของเฮอเมส เทพแห่งการเดินทางจากเทพปกรณัมกรีกและสื่อถึงความตาย แสดงนัยของความเถื่อนดิบจากดินแดนห่างไกล บิดเบี้ยว ดุดันและข่มขู่อยู่ในที แต่ในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยและอิสระเสรี 
 
อีกทั้งเส้นทางที่นำอัชเชินบัคสู่ชายประหลาดล้วนเกี่ยวพันกับสุสานและความตายก่อนถึงโบสถ์ ทั้ง "สุสาน" และ "โบสถ์" จึงเปรียบเสมือนมรรคาสู่หายนะอันศักดิ์สิทธิ์ 
 
ในทำนองเดียวกับเรือกอนโดลาและคนพายเรือที่เสมือน "อา-เค-รอน" (Acheron หรือ ชารอน Charon) ในเทพปกรณัมกรีกพร้อมที่นั่งในเรือเป็นกล่องสีดำ รูปร่างเหมือนโลงศพ คนพายเรือกอนโดลาเป็นผู้นำอัชเชินบัคสู่เวนิส เมืองที่งดงาม เย้ายวนเปี่ยมด้วยเสน่ห์ แต่กำลังก้าวสู่จุดจบค่อยๆ จมลงใต้พื้นน้ำทีละน้อย สู่เวนิส นครแห่งโรคระบาด และความตาย 
 
ที่นั่งในเรือกอนโดลาซึ่งอัชเชินบัครู้สึกว่าอ่อนนุ่มสบายสำหรับเขาอาจเทียบได้กับความงดงามละมุนละไมไร้ที่ติของหนุ่มน้อยทาทจูที่นำเขาสู่มรณะแห่งโลกหน้าเช่นกัน อัชเชินบัคไม่สามารถสลัดความรู้สึกรุนแรงที่โหยหาการเดินทางไกลที่เขารับจากชายประหลาดได้เช่นเดียวกับที่เขาไม่สามารถดิ้นหลุดพ้นจากพันธนาการของความรู้สึกสมหวังจากการค้นพบความงามอันน่าฉงนฉงายของทาทจูได้ 
 
แต่ความอิ่มเอมสมหวังนั้นได้เปลี่ยนแปรเป็นอารมณ์รักถวิลหาจนกลายเป็นสิ่งเสพติดที่บ้าคลั่งไร้เหตุผล และเปลี่ยนวิถีชีวิตของชายผู้คุ้นเคยกับการบังคับตนเองให้อยู่ภายใต้กรอบและระเบียบของสังคมและศีลธรรม มาเป็นชายที่เฝ้าติดสอยห้อยตาม "คนรัก" จนเกือบเป็นการไล่ล่ากระเซอะกระเซิงไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิง 
 
การแสวงหาความงามบริสุทธิ์ของอัชเชินบัคจึงเป็นความถวิลหาของศิลปินที่นำเขาสู่หายนะและความตาย 
 
บทความพิเศษ  : พรสรรค์ วัฒนางกูร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
จาก : มติชนสุดสัปดาห์