มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

งานวิจัย : ผลของการใช้คำถามแบบคำต่อคำและแบบมโนทัศน์ที่มีต่อความเข้าใจและการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

 

พลอยมณี สหุนันท์ (2538) นิสิตปริญญาโท  คณะครุศาสตร์  สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้ทำการวิจัยเรื่องผลของการใช้คำถามแบบคำต่อคำและแบบมโนทัศน์ที่มีต่อความเข้าใจและการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3  กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนศีขรภูมิพิสัย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์  ปีการศึกษา 2538 2 ห้อง  ห้องละ 40 คน  โดยนักเรียนห้องหนึ่งเป็นกลุ่มที่เรียนโดยคำถามแบบมโนทัศน์และอีกห้องหนึ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่เรียนโดยการใช้คำถามแบบคำต่อคำ  ผลการวิจัยพบว่า  นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบมโนทัศน์มีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบคำต่อคำ  และนักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบมโนทัศน์ในการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษไม่สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบคำต่อคำ

พลอยมณี สหุนันท์.  (2538).  ผลของการใช้คำถามแบบคำต่อคำและแบบมโนทัศน์ที่มีต่อความเข้าใจและการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (การสอนภาษาอังกฤษ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  อาจารย์ที่ปรึกษา:รศ.สุภัทรา อักษรานุเคราะห์.

 

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้คำถามแบบคำต่อคำและแบบมโนทัศน์ที่มีต่อความเข้าใจและการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตัวอย่างประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนศีขรภูมิพิสัย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ปีการศึกษา 2538 ซึ่งได้มาจากการสุ่มนักเรียนดังกล่าวอย่างเจาะจงมา 2 ห้องห้องละ 40 คนจากจำนวน 7 ห้อง โดยพิจารณาค่ามัชฌิมเลขคณิตและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนวิชาภาษาอังกฤษหลัก 5 (อ 015) ของนักเรียนที่ใกล้เคียงกันและทดสอบความแตกต่างด้วยค่าที (t-test) พบว่าคะแนนวิชาภาษาอังกฤษหลัก 5 ของนักเรียนทั้ง 2 ห้องไม่แตกต่างกันจึงสุ่มให้นักเรียนห้องหนึ่งเป็นกลุ่มที่เรียนโดยคำถามแบบมโนทัศน์และอีกห้องหนึ่งเป็นกลุ่มควบคุมที่เรียนโดยการใช้คำถามแบบคำต่อคำผู้วิจัยสอนนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม ด้วยตนเอง กลุ่มละ 2 คาบต่อสัปดาห์ใช้เวลาสอนทั้งสิ้น 6 สัปดาห์ 

 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แผนการสอนที่ใช้สอนแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 12 แผน และแบบทดสอบวัดความเข้าใจและการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษจำนวน 1 ชุด ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและได้รับการตรวจแก้ไขจากอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน แบบทดสอบมีค่าความเที่ยง 0.75ค่าความยากอยู่ระหว่าง 0.209 – 0.79 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.21 – 0.69 ผู้วิจัยทำการทดสอบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม เมื่อสิ้นสุดการทดลอง และทำการทดสอบการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่มโดยใช้แบบทดสอบชุดเดิมในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา วิเคราะห์คะแนนความเข้าใจและการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้ค่ามัชฌิมเลขคณิตค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าที (t-test) 

 

ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 

  1. นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบมโนทัศน์มีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบคำต่อคำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 
  2. นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบมโนทัศน์ในการระลึกได้ในการอ่านภาษาอังกฤษไม่สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยการใช้คำถามแบบคำต่อคำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05